คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2513/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

พ.ร.บ.การพนันฯ มาตรา 12 บัญญัติว่า “ผู้ใดจัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานหรือรับอนุญาตแล้วแต่เล่นพลิกแพลง…ผู้นั้นมีความผิด…” ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าบ้านและร่วมเล่นด้วย โดยมิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่น ถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นด้วยนั้นจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและยกฟ้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง, 215 และ 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2548 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสี่สิบสี่ร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์ อันเป็นการพนันตามบัญชี ก. หมายเลข 23 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยทั้งสี่สิบสี่เป็นผู้ร่วมเล่นพนัน จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าบ้าน และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ มีผู้แจ้งความขอรับสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งหมดได้พร้อมด้วยเงินสด 3,740 บาท อุปกรณ์การเล่นไฮโลว์ 1 ชุด โต๊ะพร้อมแผงแสดงการเล่น 2 แผ่น ซึ่งเป็นอุปกรณ์และทรัพย์สินที่จำเลยทั้งหมดใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลาง ในส่วนจำเลยที่ 4 เป็นเยาวชนได้แยกสำนวนฟ้องแล้ว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง และให้จำเลยจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่สิบสี่ให้การรับสารภาพ (ที่ถูก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 44 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเยาวชนได้ถูกแยกดำเนินคดีต่างหากแล้ว)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่สิบสี่ (ที่ถูก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 44) มีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 (ที่ถูก มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 10, 12 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83) ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าบ้านผู้จัดให้มีการเล่น จำคุก 2 เดือน ฐานเป็นผู้เล่น จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 3 เดือน จำเลยที่ 2 ฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ จำคุก 2 เดือน จำเลยนอกนั้นปรับคนละ 2,000 บาท ไม่ลดโทษให้จำเลยทั้งหมด ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ให้จำเลย (ที่ถูก จำเลยที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 44) จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละกึ่งหนึ่งแล้ว คงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 1 เดือน 15 วัน ลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าบ้านและร่วมเล่นการพนันไฮโลว์ด้วยเป็นความผิดเพียงกรรมเดียวนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นนั้นเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12 บัญญัติว่า “ผู้ใดจัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานหรือรับอนุญาตแล้วแต่เล่นพลิกแพลง…ผู้นั้นมีความผิด…” ดังนี้ คดีนี้ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าบ้านและร่วมเล่นด้วย โดยมิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่น ถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นด้วยนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและยกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง, 215 และ 225 เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยอีกต่อไป แต่เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดเพียงฐานเป็นผู้ร่วมเล่น พฤติการณ์แห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปในทางเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 จึงสมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 1 เสียใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่น ส่วนความผิดของจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้ร่วมเล่น ให้ลงโทษปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 1,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่าปรับด้วย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share