คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาในคดีอาญาที่ว่าจำเลยปลอมพินัยกรรมฉบับพิพาทหรือไม่มาเป็นข้อวินิจฉัยว่าพินัยกรรมฉบับพิพาทเป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ตามข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีความหมายว่า คู่ความประสงค์ให้ถือเอาผลของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะกันในประเด็นนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีอาญายังไม่ถึงที่สุดเพราะอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เป็นไปตามคำท้าดังนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้ปลอมพินัยกรรมฉบับพิพาท โดยถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุดเป็นข้อวินิจฉัยคดีจึงไม่ชอบ เมื่อไม่ได้ความว่าคู่ความได้ยกเลิกคำท้า ศาลจึงต้องรอฟังผลของคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีตามที่คู่ความท้ากันต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายชุม คงเพชร เจ้ามรดก ไม่มีภริยาและบุตร บิดามารดาของนายชุมถึงแก่กรรมไปก่อนที่นายชุมถึงแก่กรรมโจทก์ที่ 1 เป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายชุม โจทก์ที่ 2เป็นบุตรคนเดียวของนางคล้อย ไพจิตร นางคล้อยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายชุม นางคล้อยถึงแก่กรรมภายหลังที่นายชุมถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ที่ 2 จึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายชุมแทนที่นางคล้อย นายชุมมีทรัพย์สินที่เป็นมรดก คือที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 4 แปลงกับทรัพย์มรดกอื่นอีก 5 รายการ คือเงินฝากธนาคาร เรือนพักอาศัยข้าวเปลือกจำนวน 5 เกวียน อุปกรณ์สำหรับทำยางแผ่น และเงินสดติดตัว รวมทรัพย์สินทั้งหมดเป็นเงิน 201,000 บาทนายชุมถึงแก่กรรมไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้ใด จำเลยได้สมคบกับนางปราณี จุลิวรรณลีย์ ทำปลอมพินัยกรรมของนายชุมขึ้นทั้งฉบับและนำไปโอนที่ดินเป็นของจำเลยจำเลยยังได้รื้อถอนเรือนพักอาศัยของนายชุมไปทั้งหลัง ส่วนเงินฝากธนาคาร เงินสดติดตัว ข้าวเปลือกและอุปกรณ์สำหรับทำยางแผ่น จำเลยได้ยึดเอาเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอมที่ศาลแขวงสงขลา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรม ฉบับลงวันที่ 2 กันยายน 2523 ที่จำเลยทำปลอมขึ้นเป็นโมฆะไม่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่2758, 3756, 4556 แก่โจทก์ทั้งสองหากจำเลยไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ราคาบ้านพักเป็นเงิน 70,000 บาท ให้ส่งมอบเงินฝากที่จำเลยเบิกจากธนาคารจำนวน 30,000 บาท เงินสดติดตัวของนายชุมจำนวน 17,000 บาทอุปกรณ์ทำยางแผ่นหรือชำระราคาเป็นเงิน 3,000 บาท และข้าวเปลือก5 เกวียน หรือชำระราคาเป็นเงิน 12,000 บาท คืนแก่โจทก์ทั้งสองให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 94,400 บาท และให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือนอีกเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะโอนที่ดินและชำระหนี้อื่นเสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า จำเลยและนางปราณี จุลิวรรณลีย์ ไม่ได้ปลอมพินัยกรรมของนายชุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ราคาเรือนพักอาศัยของผู้ตายแก่โจทก์เป็นเงิน 70,000 บาท คืนเงินฝากธนาคารของผู้ตายแก่โจทก์จำนวน 2,500 บาท คืนเงินสดแก่โจทก์จำนวน 600 บาท คืนอุปกรณ์สำหรับทำยางแผ่น 1 ชุด แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชำระราคา3,000 บาท และคืนข้าวเปลือก 5 เกวียน ของผู้ตายแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชำระราคา 12,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีฟังได้ว่า ในชั้นพิจารณาศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทหลายประเด็น และมีประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่าจำเลยปลอมพินัยกรรมของนายชุม คงเพชร ตามฟ้องหรือไม่ ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยปลอมพินัยกรรมนายชุม คงเพชร ตามฟ้องหรือไม่ คู่ความไม่ติดใจสืบพยานอีกต่อไป แต่ขอให้ถือผลตามคำพิพากษาในคดีอาญาที่โจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมและใช้พินัยกรรมปลอมตามคดีหมายเลขดำที่1188/2527 (ที่ถูกคือ 2528) ของศาลแขวงสงขลา หากผลคดีอาญาปรากฏว่าจำเลยปลอมพินัยกรรมดังกล่าวจริง ก็ให้ถือว่าพินัยกรรมฉบับดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอม หากผลคำพิพากษาปรากฏว่าจำเลยมิได้ปลอมพินัยกรรม ก็ให้ถือว่าพินัยกรรมฉบับดังกล่าวมิใช่พินัยกรรมปลอม แต่จะมีผลตามกฎหมายแพ่งหรือไม่ก็ให้ศาลวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง ศาลชั้นต้นจึงกำหนดให้คู่ความสืบพยานในประเด็นอื่นต่อไป ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 11 กันยายน 2528 ต่อมาทนายจำเลยแถลงว่า คดีอาญาในข้อหาปลอมและใช้พินัยกรรมปลอมนั้น ศาลแขวงสงขลาพิพากษายกฟ้องแล้ว และส่งสำเนาคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่2588/2528 ของศาลแขวงสงขลาประกอบสำนวนไว้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่คู่ความตกลงกันดังกล่าวเป็นเรื่องตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาในคดีหมายเลขดำที่ 1188/2528 ของศาลแขวงสงขลา เป็นข้อวินิจฉัยว่าพินัยกรรมฉบับพิพาทเป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ตามข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีความหมายว่าคู่ความประสงค์ให้ถือเอาผลของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะกันในประเด็นดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้ออุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ทั้งสองโดยจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านว่า คดีอาญาหมายเลขดำที่ 1188/2528 หมายเลขแดงที่ 2588/2528 ของศาลแขวงสงขลายังไม่ถึงที่สุด เพราะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เป็นไปตามคำท้า ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้ปลอมพินัยกรรมฉบับพิพาท โดยถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาของศาลแขวงสงขลาดังกล่าวซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุดเป็นข้อวินิจฉัยคดีจึงไม่ชอบ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าคู่ความได้ยกเลิกคำท้าดังกล่าว ศาลจึงต้องรอฟังผลของคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวที่ถึงที่สุดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีตามที่คู่ความท้ากัน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นรอฟังผลคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1188/2528 หมายเลขแดงที่ 2588/2528 ของศาลแขวงสงขลาที่ถึงที่สุด แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share