แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปลอมตัวเป็นเจ้าพนักงานไปทำการตรวจค้นเขาหลงเชื่อยอมให้ค้น แล้วยึดเอาธนบัตร์ของเขาไป และเขาเป็นของตนเสีย ไม่เป็นผิดฐานฉ้อโกง
ย่อยาว
ได้ความว่าจำเลยปลอมตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไปที่เรือนผู้เสียหายขอตรวจค้นของต้องห้าม ผู้เสียหายเชื่อว่าเป็นเจ้าพนักงานจึงยอมให้ค้น จำเลยค้นพบธนบัตร์ของผู้เสียหายและของผู้อื่นซึ่งฝากผู้เสียหายไว้รวมด้วยกัน ๔๔๙ บาท แล้ว จำเลยยึดธนบัตร์เหล่านั้นไว้ และนำตัวผู้เสียหายไปว่าจะนำไปส่งอำเภอพอถึงกลางทาง จำเลยก็เพทุบายหลบหนีพร้อมกับเอาธนบัตร์ไปด้วยดังนี้ โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๑๒๗,๑๒๘, ๒๖๘, ๒๗๐,๓๐๔,๓๐๖
ศาลชั้นต้นตัดสินว่าจำเลยมีผิดฐานปลอมตนเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๒๗ จำคุกคนละ ๘ เดือน ฐานฉ้อโกลตามมาตรา ๓๐๖(๑) จำคุกคนละ ๓ ปี
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยเอาธนบัตร์ไปโดยไม่มีผู้ใดส่งให้ จึงไม่เป็นผิดฐานฉ้อโกง น่าจะผิดฐานลักทรัพย์มากกว่า แต่ โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษฐานนี้ จึงพิพากษาแก้ให้ยกข้อหาตามมาตรา ๓๐๖ นอกนั้นยืนตาม
โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิดตามมาตรา ๓๐๖ ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา ๓๐๔ นั้น นอกจากใช้อุบายหลอกลวงโดยเจตนาทุจจริตแล้ว จะต้องมีการส่งทรัพย์ให้ด้วย แต่ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้จำเลยได้ใช้อำนาจจับกุมเป็นการบังคับเอาทรัพย์ไป เจ้าทรัพย์หาได้ ยินยอมส่งให้จำเลยไม่ จึงไม่อยู่ในลักษณฉ้อโกงตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงพิพากษายืนตาศาลอุทธรณ์