แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนจำนวน 16 หลอด และมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 76 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครองครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ส่วนเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนที่เหลือเป็นของ ส. โดยจำเลยทั้งสองมิได้ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนจำนวน 16 หลอด และเมทแอมเฟตามีนจำนวน 66 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่จึงยุติไป โจทก์จะโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีน ดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหาได้ไม่ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ แล้วคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นจำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 7,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่เกินกำหนดดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและขอให้ลงโทษสถานหนักโดยไม่รอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษของศาลว่าสมควรลงโทษจำเลยที่ 2 เพียงใด อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
เมื่อขณะค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ของกลาง จำเลยที่ 1 นอนหลับอยู่บนเตียง แม้จะได้ความว่าจำเลยทั้งสองเช่าห้องพักที่เกิดเหตุอยู่ด้วยกัน เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นถึงพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครอบครองจึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน ที่ถูกต้องจำคุก 9 เดือน แต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 โดยไม่รอการลงโทษ ก็เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 คดีของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจขึ้นมาสู่การวินิจฉัย ของศาลฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๕, ๖๗, ๙๗, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๕๘ ริบของกลาง เพิ่มโทษและบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ ๑ ที่รอการลงโทษไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๖๑๘/๒๕๓๙ ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและบวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๗ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ จำคุกคนละ ๒ ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่ การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกคนละ ๑ ปี ๖ เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๙๗ กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก ๒ ปี ๓ เดือน จำเลยที่ ๑ ถูกบวกโทษจำคุกในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๘๓๘/๒๕๔๐ แล้ว จึงไม่อาจบวกโทษได้อีก ศาลมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๔๘๘/๒๕๔๑ ให้ริบของกลางทั้งหมดแล้ว จึงไม่อาจริบซ้ำได้อีก ยกคำขอส่วนนี้และข้อหาอื่น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๗ จำคุก ๑ ปี และปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท อีกสถานหนึ่ง จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพชั้นจับกุม ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสี่ คงจำคุก ๖ เดือน ปรับ ๗,๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด ๒ ปี ให้จำเลยที่ ๒ ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก ๒ เดือน เป็นเวลา ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ จำเลยที่ ๒ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับ จำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วสำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมกับนางสาวสมปรารถนามีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนของกลางตามฟ้องไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับนางสาวสมปรารถนามีเฮโรอีนจำนวน ๑๖ หลอด และเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๗๖ เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑๐ เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ส่วนเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนที่เหลือเป็นของนางสาว สมปรารถนา โดยจำเลยทั้งสองมิได้ร่วมกับนางสาวสมปรารถนามีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวแต่อย่างใด โจทก์มิได้อุทธรณ์ ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๑ ร่วมกับนางสาวสมปรารถนามีเฮโรอีนจำนวน ๑๖ หลอด และเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๖๖ เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ จึงยุติไปแล้ว โจทก์จะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ร่วมกับนางสาวสมปรารถนามีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหาได้ไม่ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ ร่วมกับนางสาวสมปรารถนามีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ สถานหนักโดยไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แล้วคงจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก ๑ ปี และปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก ๖ เดือน ปรับ ๗,๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ ไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยที่ ๒ ไม่เกินกำหนดดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ร่วมกับนางสาวสมปรารถนามีเฮโรอีนและ เมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ สถานหนักโดยไม่รอ การลงโทษให้จำเลยที่ ๒ นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษของศาลว่า สมควรลงโทษจำเลยที่ ๒ เพียงใด อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑๐ เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่
เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบมา คงรับฟังได้เพียงว่า เมื่อไปถึงห้องเช่าที่เกิดเหตุปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ นอนหลับอยู่บนเตียง จำเลยที่ ๒ นั่งอยู่ข้างเตียง พบกีตาร์วางอยู่บนเตียง และมีเมทแอมเฟตามีนครึ่งเม็ดวางอยู่ข้าง ๆกีตาร์ เมื่อยกกีตาร์ขึ้นพบกล่องเครื่องคิดเลขวางอยู่ภายในกล่องมี เมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑๐ เม็ด จำเลยที่ ๒ รับว่าเป็นของจำเลยที่ ๒ ดังนั้น เมื่อขณะค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑๐ เม็ด จำเลยที่ ๑ นอนหลับอยู่บนเตียงเท่านั้น จึงไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ร่วมรู้เห็นกับจำเลยที่ ๒ มี เมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑๐ เม็ด ไว้ในครอบครอง แม้จะได้ความว่าจำเลยทั้งสองเช่าห้องพักที่เกิดเหตุอยู่ด้วยกันก็ตาม ก็ไม่ได้แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมรู้เห็นกับจำเลยที่ ๒ มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑๐ เม็ด ไว้ในครอบครอง
เมื่อโจทก์นำสืบให้ศาลเห็นถึงพฤติการณ์ที่จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑๐ เม็ด ไว้ในครอบครองไม่ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑๐ เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เฉพาะโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษแก่จำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก ๖ เดือน นั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคงจำคุก ๙ เดือน แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ โดยไม่รอการลงโทษก็เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ คดีของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ ๒ จึงไม่อาจขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกา ดังนั้น ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ ๒ ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๒ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕
พิพากษายืน.