คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2643/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน 5 วัน คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำส่งหมายดังกล่าวย่อมมีความชัดเจนว่าจำเลยมีสิทธิใช้จ่ายเงินของตนได้แล้วตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 24 จำเลยจะอ้างว่าไม่มีสิทธิใช้ทรัพย์สินเพราะถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไม่ได้ ดังนั้น การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นย่อมเป็นการไม่นำพาต่อคำสั่งของศาลละเลยต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนที่เป็นหน้าที่ของตนจึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย สำหรับค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควรเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2543 ต่อมาวันที่ 13 ตุลาคม 2543 จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยในวันเดียวกันว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในระยะที่กฎหมายกำหนด รับเป็นอุทธรณ์ของจำเลย สำเนาให้โจทก์ ให้จำเลยนำส่งภายใน 5 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง การส่งหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด ส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งอุทธรณ์และปรากฏด้านหน้าของอุทธรณ์มีข้อความซึ่งประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า “ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว” โดยมีทนายจำเลยลงชื่อไว้ ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม 2543 เจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่าคดีนี้จำเลยยื่นอุทธรณ์ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2543 ศาลสั่งรับอุทธรณ์สำเนาให้โจทก์แก้จนถึงบัดนี้จำเลยมิได้นำส่งหมายให้โจทก์แต่ประการใด ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณา
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของจำเลยเพราะจำเลยทิ้งอุทธรณ์ชอบหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าใจว่าการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์เป็นหน้าที่ของศาล เพราะจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิใช้ทรัพย์สินแม้แต่น้อย เห็นว่า ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน 5 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ทนายจำเลยลงลายมือชื่อรับทราบวันนัดฟังคำสั่งในวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ดังนั้น เมื่อถึงวันนัดฟังคำสั่งดังกล่าว ทนายจำเลยไม่มาฟังคำสั่งก็ถือได้ว่าจำเลยทราบคำสั่งแล้ว คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยมีเนื้อความชัดแจ้งว่า “รับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยสำเนาให้โจทก์ให้จำเลยนำส่งภายใน 5 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง การส่งหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งอุทธรณ์” จากคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวสามารถเข้าใจได้ว่าศาลสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน 5 วัน ดังนั้น ที่จำเลยอ้างว่าการส่งสำเนาอุทธรณ์เป็นหน้าที่ของศาลจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่าการที่จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จำเลยจึงไม่สามารถใช้สอยทรัพย์สินของตนเพราะเกรงผิดต่อคำสั่งศาล รอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาทำหน้าที่แทนนั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นให้จำเลยนำส่งหมาย ย่อมมีความชัดแจ้งว่าจำเลยมีสิทธิใช้จ่ายเงินของตนได้แล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 24 ดังนั้น การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นการไม่นำพาต่อคำสั่งของศาล ละเลยต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนที่เป็นหน้าที่ของตน จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share