แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาท โดยมิได้ระบุว่าที่ดินพิพาทคือที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 987 แต่จำเลยที่ 2ให้การทำนองว่า ที่ดินพิพาทคือที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ดังกล่าวและทางนำสืบของทั้งสองฝ่ายก็นำสืบรับกัน ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทคือที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 987 แล้วพิพากษาขับไล่จำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้มีผลทำให้โจทก์ทั้งสองได้ที่ดินน้อยกว่าที่ขอก็ตามและเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทั้งยังได้แก้อุทธรณ์ว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินตาม น.ส.3ดังกล่าวชอบแล้วการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอและพิพาทแก้ให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากที่ดินพิพาทย่อมเป็นการไม่ชอบแม้คู่ความทั้งสองฝ่ายจะมิได้ฎีกาโต้แย้งขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยและพิพากษาแก้ให้ขับไล่ออกจากที่ดินตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าวได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 อยู่กินฉันสามีภริยากับนายแบน เมาลิชาติ โดยไม่จดทะเบียนสมรส และโจทก์ที่ 2เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 กับนายแบน เมื่อประมาณ 10 ปีมานี้ ผู้มีชื่อยกที่ดินซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินแปลงหนึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ มีอาณาเขตตามแผนที่พิพาทท้ายฟ้องให้โจทก์ที่ 1 และนายแบน หลังจากรับการยกให้แล้วนายแบนและโจทก์ที่ 1 ได้ร่วมกันทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวครอบครองโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แล้ว โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน กระทั่งนายแบนถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสองก็ยังครอบครองที่ดินดังกล่าวสืบมา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2532จำเลยทั้งสามร่วมกันบุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินดังกล่าว ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2นายแบนและพี่น้องอีก 2 คน ต่างเป็นบุตรของนายจันทร์กับนางปรัก เมาลิชาติหลังจากนายจันทร์ยกที่ดินต่าง ๆให้แก่บุตรแล้ว คงเหลือที่ดินเพียง 1 แปลงตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 987 ตั้งอยู่ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษ กับที่ดินหัวไร่ปลายนาที่อยู่ติดต่อกันที่ดินพิพาทเป็นของนายจันทร์ซึ่งยังไม่เคยยกให้แก่ผู้ใดนายจันทร์ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพี่น้องทุกคนยกเว้นนายแบนเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ครั้นนายจันทร์ถึงแก่กรรมในปี 2523 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังคงครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมาโดยนายแบนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เมื่อประมาณ 3 ปี มานี้นายแบนขอทำประโยชน์ที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพี่น้องยินยอมเพราะที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายจันทร์ที่ยังมิได้แบ่งปันหลังจากนายแบนถึงแก่กรรม เมื่อปี 2531 จำเลยที่ 1และที่ 2 จึงห้ามโจทก์ทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 987ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากที่ดินพิพาทนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายจันทร์ยกที่ดินพิพาทให้แก่นายแบนและโจทก์ที่ 1
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 987 ยังไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำขอท้ายฟ้องซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง มิได้ระบุเฉพาะที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว จึงแก้ไขเป็นให้ขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่าแม้คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องจะมิได้ระบุว่าที่ดินพิพาทคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การทำนองว่า ที่ดินพิพาทคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว และทางนำสืบของทั้งสองฝ่ายก็นำสืบรับกัน โดยโจทก์ที่ 1 รับว่า นายจันทร์ยกที่ดินพิพาทให้นายแบนพร้อมกับมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินตามเอกสารหมาย ล.1 ด้วย ซึ่งตรวจแล้วเป็นสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 987 ศาลชั้นต้นจึงฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 987 แล้วพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 987 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์ทั้งสองได้ที่ดินน้อยกว่าที่ขอแต่โจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทั้งยังได้แก้อุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 987 นั้น เป็นการชอบด้วยเหตุผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว จึงขอถือเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นส่วนหนึ่งของคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง ดังนี้ข้อเท็จจริงย่อมฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าที่ดินพิพาทคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 987 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิจารณาเกิดคำขอนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยแม้คู่ความทั้งสองฝ่ายจะมิได้ฎีกาโต้แย้งขึ้นมาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 987ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1