แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่าจำเลยแต่ฝ่ายเดียวจะถอนคำท้าที่ให้ส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยโจทก์ไม่ยินยอมได้หรือไม่นั้นจำเลยเคยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค1มาครั้งหนึ่งแล้วซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค1ได้วินิจฉัยว่าคำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานไว้โดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติจำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวได้ไม่แต่เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้าแล้วศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงนั้นให้ตรงตามคำท้าทุกประการจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้วจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาดังกล่าวอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144แม้ศาลอุทธรณ์ภาค1จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้อีกก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การพิพากษาให้ตรงตามคำท้าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1นั้นหมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่แล้วพิพากษาไปตามคำท้าอันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วยเมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้วจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งและได้ทำสัญญากู้รวมยอมหนี้จำนวน 90,000 บาท ให้โจทก์ ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ และค้างชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 59,625 บาท ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานว่าหนังสือสัญญากู้ตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ วันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก โจทก์จำเลยท้ากันให้ส่งสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยถือเป็นข้อแพ้ชนะ โจทก์จึงขอส่งหลักฐานไปตรวจพิสูจน์ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำท้าศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ถอนคำท้าและมีคำสั่งว่า เมื่อจำเลยรับว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลย จึงไม่มีความจำเป็นต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลยอีกต่อไป คดีพอวินิจฉัยได้แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าจำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวได้ไม่ แต่ศาลจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงให้ตรงตามคำท้าทุกประการ นอกจากนี้จำเลยปฏิเสธว่าสัญญากู้ปลอม 2 ประการ คือ ข้อความตามสัญญากู้ปลอม และลายมือชื่อปลอม การที่คู่ความท้าพิสูจน์ลายมือชื่ออย่างเดียวถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น แต่ถ้ากองพิสูจน์หลักฐานไม่อาจตรวจพิสูจน์ได้ คำท้าย่อมตกไป ดังนั้นแม้จำเลยจะแถลงรับว่าลายมือชื่อในสัญญากู้เป็นของตนก็ตาม ก็ยังมีประเด็นว่าข้อความในสัญญากู้ปลอมหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นด่วนพิพากษาตามคำรับของจำเลยโดยไม่รอฟังรายงานการตรวจพิสูจน์ตามคำท้าจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ผู้ตรวจพิสูจน์ลงความเห็นว่า ลายมือชื่อผู้กู้ในเอกสารหมาย จ.1 เป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อจำเลยในเอกสารตัวอย่าง จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามที่ท้ากัน พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 90,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าจำเลยแต่ฝ่ายเดียวจะถอนคำท้าที่ให้ส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยโจทก์ไม่ยินยอมได้หรือไม่ เห็นว่า ปัญหาข้อนี้จำเลยเคยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 มาครั้งหนึ่งแล้วซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยตามคำพิพากษาลงวันที่15 ตุลาคม 2535 ว่าคำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานไว้โดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติ จำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวหาได้ไม่แต่เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้าแล้วศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงนั้นให้ตรงตามคำท้าทุกประการโดยความเห็นของกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ เป็นเงื่อนไขสำคัญจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยหาได้ฎีกาโต้แย้งไม่ ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อศาลชั้นต้นส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และพิพากษาใหม่แล้วจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาดังกล่าวอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะได้วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวให้อีกก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาต่อไปว่า ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2535เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยว่าศาลจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงให้ตรงตามคำท้าทุกประการแม้จำเลยจะแถลงรับว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เป็นของตนก็ไม่ทำให้คำท้าสิ้นผลไปแต่อย่างใด พึงเห็นได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า การพิพากษาให้ตรงตามคำท้านั้นหมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญาไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ แล้วพิพากษาไปตามคำท้า อันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วยเมื่อกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ทำการตรวจพิสูจน์แล้วลงความเห็นว่าลายมือชื่อผู้กู้เป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยซึ่งเป็นการตรงตามคำท้าแล้วจึงไม่จำเป็นต้องนำสืบในประเด็นว่าข้อความในสัญญากู้ปลอมหรือไม่อีกต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1
พิพากษายืน