แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยที่1เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่โจทก์ไม่ได้อยู่ด้วยและไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการที่จำเลยที่1ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่2โจทก์จึงขอให้เพิกถอนสัญญาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1480(เดิม)ส่วนข้อที่จำเลยที่2ฟ้องจำเลยที่1และศาลพิพากษาให้จำเลยที่1โอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่2นั้นหามีผลกระทบถึงสิทธิของโจทก์ที่จะขอให้เพิกถอนสัญญาตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่ จำเลยที่2ให้การต่อสู้เพียงว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ทราบเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทก่อนวันที่19กุมภาพันธ์2533มิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าเป็นวันที่เท่าใดซึ่งหากโจทก์มิได้ทราบเรื่องการซื้อขายดังกล่าวก่อนวันที่14กุมภาพันธ์2533ก็ยังไม่พ้นกำหนด1ปีอันโจทก์จะขอให้เพิกถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1480วรรคสอง(เดิม)เพราะโจทก์ฟ้องคดีวันที่14กุมภาพันธ์2534ดังนี้คำให้การของจำเลยที่2ในข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองไม่ก่อให้เกิดประเด็นในคดีการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่จึงเป็นการไม่ชอบและที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นฎีกาของจำเลยที่2เรื่องอายุความจึงเป็นฎีกานอกประเด็นถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1ภริยาโจทก์และจำเลยที่2สมคบกันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินสินสมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์ขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง200บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2532 จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้สมคบกันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 816 ตำบลกลัดหลวงอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวาซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในราคา 144,000 บาทโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ และทำสัญญากันที่บ้านโจทก์ในขณะที่โจทก์ไม่ได้อยู่บ้าน ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2533โจทก์ทราบเรื่องรุ่งขึ้น วันที่ 20 เดือนเดียวกันซึ่งเป็นวันนัดจดทะเบียนโอนที่ดิน โจทก์คัดค้านเจ้าพนักงานที่ดินจึงระงับการจดทะเบียน การกระทำของจำเลยทั้งสอง ทำให้โจทก์เสียหายขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวฉบับลงวันที่ 8ธันวาคม 2532 ที่จำเลยทั้งสองทำขึ้น
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์จริงแต่จำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาทุจริตเพื่อให้โจทก์เสียหาย โดยคิดว่าหากโจทก์ทราบภายหลังก็คงจะยินยอมขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องทำที่บ้านโจทก์ โจทก์ทราบเรื่องดี มิได้เป็นการฉ้อฉลโจทก์ โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตโดยสมคบกับจำเลยที่ 1 ฟ้องคดีนี้ เพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ต้องโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งธนบุรีซึ่งพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 ทั้งนี้เพราะที่ดินมีราคาสูงขึ้น จำเลยที่ 2เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ทราบการซื้อขายที่ดินก่อนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2533 คดีขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 816เลขที่ดิน 36 ตำบลกลัดหลวง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีลงวันที่ 8 ธันวาคม 2532 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังยุติได้ว่า โจทก์เป็นภริยาจำเลยที่ 1 โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2499 ตามทะเบียนการสมรสเอกสารหมาย จ.2 ต่อมาปี 2520โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 816 ตำบลกลัดหลวงอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี แต่ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในน.ส.3 ก.เพียงคนเดียวตาม น.ส.3 ก.เอกสารหมาย จ.3 ครั้นวันที่8 ธันวาคม 2532 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.4
ปัญหาข้อแรกที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ได้อยู่ด้วยและไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์ขอให้เพิกถอนสัญญาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 (เดิม) ข้อที่จำเลยที่ 2ฟ้องจำเลยที่ 1 และศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 หามีผลกระทบถึงสิทธิของโจทก์ที่จะขอให้เพิกถอนสัญญาตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่
ปัญหาข้อต่อไปที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความนั้นเห็นว่า จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้เพียงว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากโจทก์ทราบเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทก่อนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2533 มิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าเป็นวันที่เท่าใด ซึ่งหากโจทก์มิได้ทราบเรื่องการซื้อขายดังกล่าวก่อนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2533 ก็ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี อันโจทก์จะขอให้เพิกถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480วรรคสอง (เดิม) เพราะโจทก์ฟ้องคดีวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2534คำให้การของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ดังนี้ย่อมไม่ก่อให้เกิดประเด็นในคดี การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุหรือไม่จึงเป็นการไม่ชอบ และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาของจำเลยที่ 2เรื่องอายุความจึงเป็นฎีกานอกประเด็น ถือได้ว่าเป็นข้อที่จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในข้อนี้
อนึ่ง คดีนี้เป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จำเลยที่ 2 จึงคงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 200 บาท
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมาจำนวน1,600 บาท แก่จำเลยที่ 2