แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทายาทลำดับเดียวกันได้รับมรดดกเป็นที่ดินแล้ว ต่างได้ครอบครองเป็นเจ้าของร่วมกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โดยยังมิได้โอนโฉนดกัน ครั้งภายหลังทายาทคนหนึ่งไปประกาศขอรับมรดกใส่ชื่อตนเป็นเจ้าของเสียแต่ผู้เดียว ดังนี้ เมื่อได้ความว่า การที่เพราะเชื่อถ้อยคำของทายาทคนแรกว่าจะลงชื่อตนเป็นผู้รับมรดกด้วย ฉะนั้นการรับมรดกของทายาทคนแรกจึงเป็นไปโดยไม่สุจริต หาทำให้ทายาทอีกคนหนึ่งขาดกรรมสิทธิในที่ดินมรดกนั้นไม่ ทายาทผู้นั้นมีสิทธิฟ้องของให้ศาลใส่ชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมด้วยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาทโดยได้รับมรดกและครอบครองร่วมกันตลอดมา บัดนี้จำเลยไปรับมรดกใส่ชื่อจำเลยรับมรดกแต่ผู้เดียว จึงขอให้ศาลสั่งลงชื่อโจทก์ ถือกรรมสิทธิร่วมกับจำเลยตามส่วนที่โจทก์ควรจะได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทราบเรื่องจำเลยรับมรดกรายนี้ดี กลีบนอนหลับทับสิทธิ โจทก์จะขอแบ่งไม่ได้ตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. ๑๒๗ มาตรา ๕๒
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงแห่งคดีนี้ ตามที่ศาลกล่างฟังมาว่า ที่พิพาทเนื้อที่ ๖ ไร่ เศษเป็นของนายชุ่มนางเอี่ยมเจ้ามรดก ซึ่งโจทก์จำเลยเป็นหลานอยู่ในลำดับญาติลำดับเดียวกัน โจทก์จำเลยได้ครอบครองเป็นเจ้าของร่วมกันมาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว โดยยังมิได้โอนโฉนดรับมรดก จำเลยเพิ่มขอโอนรับมรดกมาเป็นของจำเลยเสียแต่ผู้เดียว การที่โจทก์ไม่คัดค้านเพราะเชื่อถ้อยคำของจำเลยว่าจะลงชื่อโจทก์รับมรดกด้วย การรับมรดกของจำเลยเป็นไปโดยไม่สุจริต ซึ่งศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามนั้น เรื่องเช่นนี้หาทำให้โจทก์ขาดกรรมสิทธิในที่ดินรายพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่
จึง พิพากษายืน