คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การแจ้งการประเมินภาษีอากรมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 เริ่มนับใหม่เมื่อพ้นระยะเวลาสามสิบวันที่กำหนดให้นำค่าภาษีไปชำระตามหนังสือแจ้งการประเมินและพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากรอันโจทก์อาจบังคับยึดทรัพย์หรือใช้สิทธิฟ้องร้องได้ แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 10 ปีแล้ว จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 167 แม้โจทก์จะมีหนังสือแจ้งการประเมินไปยังจำเลยครั้งที่สองก็ไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้วสะดุดหยุดลงอีก เพราะจะมีผลเป็นการขยายอายุความที่กฎหมายกำหนดไว้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 191.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินภาษีอากรของโจทก์มีเหตุอันควรเชื่อว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสัวัสดีภาพยนตร์ ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2517-2518 ไม่ถูกต้องตามจริง เจ้าพนักงานประเมินภาษีอากรจึงออกหมายเรียกให้จำเลยในฐานะผู้จัดการห้างดังกล่าวไปพบ และให้นำสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานไปมอบให้เพื่อตรวจสอบไต่สวน แต่จำเลยเพิกเฉย เจ้าพนักงานจึงได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากหน้างสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปีพ.ศ. 2517-2518 ให้ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินภาษีอากรของโจทก์แจ้งการประเมินภาษีให้ห้างดังกล่าวทราบโดยวิธีปิดหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ประตูบ้านสำนักงานใหญ่ของห้างเมื่อวันที่11 กุมภาพันธ์ 2526 แต่ห้างก็ไม่นำเงินภาษีดังกล่าวไปชำระแก่โจทก์และไม่ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การไมีชำระภาษีเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินห้างดังกล่าวต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มภาษี466,964.69 บาท จำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัการของห้างดังกล่าวประเภทไม่จำกัดความรับผิด จึงต้องร่วมรับผิดชำระภาษีอากรให้แก่โจทก์โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระภาษีอากรค้างจำนวนดังกล่าวแล้ว 2 ครั้ง ทางไปรษณีย์ตอบรับอันมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า30 วัน แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี พ.ศ. 2517 และ 2518 ของห้างหุ้นส่วนจำกัดสวัสดีภาพยนตร์เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2521 ดังนั้น อายุความหนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าวย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 เริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามมาตรา 181 วรรคสองตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2521 สิทธิเรียกร้องในหนี้ภาษีดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 167 ครบกำหนดอายุความวันที่ 30สิงหาคม 2531 โจทก์ฟ้องให้จำเลยล้มละลายวันที่ 4 มกราคม 2532 เกิน10 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นอีกต่อไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ คำให้การจำเลยและตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 23 มีนาคม 2532 ฟังได้ว่า จำเลยเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดสวัสดีภาพยนตร์ ซึ่งค้างชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ.2517 กับปีพ.ศ. 2518 รวมทั้งเพิ่มภาษีด้วยเป็นเงินทั้งสิ้น 466,964.96 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว 2 ครั้ง ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับจำเลยได้รับหนังสือแล้ว ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ถึง 9ภาษีดังกล่าวดจทก์ได้ประเมินดดยออกหนังสือแจ้งการประเมินเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2521 ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และ 3หนังสือแจ้งการประเมินดังกล่าวเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แผนกสารบรรณของโจทก์จัดส่งให้แ่จำเลยทางไปรษณีย์ซึ่งโดยปกติแล้วเรื่องจะย้อนกลับไปที่ฝ่ายตรวจสอบ และฝ่ายตรวจสอบจำบันทึกไว้ว่า”ลงทะเบียนปิดเรื่องแล้ว” ครั้งนี้จะมีการส่งหนังสือถึงจำเลยและจำเลยได้รับหนังสือหรือไม่ โจทก์ไม่ยืนยัน เพราะไม่มีใบตอบรับด้วยเหตุนี้โจทก์จึงได้จัดการส่งหนังสือแจ้งการประเมินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และ 3 ให้จำเลยอีก จำเลยได้รับหนังสือแล้วตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และ 5
พิเคราะห์แล้ว สมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์เพื่อเอาค่าภาษีรายพิพาทนี้ขาดอายุความหรือไม่เสียก่อนศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้รายพิพาทนี้ไปยังจำเลยตามหนังสือแจ้งการประเมิน ลงวันที่30 สิงหาคม 2521 เจ้าหน้าที่แผนกสารบรรณของโจทก์มีหน้าที่จัดส่งหนังสือดังกล่าวไปยังจำเลยโดยทางไปรษณีย์ แต่โจทก์ไม่ยืนยันว่าจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วหรือไม่ เพราะไม่มีใบตอบรับ ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2526 โจทก์จึงส่งหนังสือแจ้งการประเมินนั้นไปยังจำเลยอีกครั้งหนึ่งและจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่าอายุความหนี้ภาษีเงินได้รายนี้สะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2521ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2521 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 วรรคสอง จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบให้เห็นว่า ในการส่งหนังสือแจ้งการประเมินไปยังจำเลยครั้งแรก จำเลยยังไม่ได้รับหนังสือนั้น แต่โจทก์ไม่มีหลักฐานการแจ้งการประเมินครั้งแรกมาแสดง ทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้แถลงรับว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แผนกสารบรรณของโจทก์เองเป็นผู้จัดการส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งโดยปกติแล้วย่อมจะส่งกันโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับและสามารถรู้ผลการส่งได้ในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น ดังเช่นการส่งของโจทก์ในครั้งที่สองแต่หลักฐานการส่ง ผู้จัดส่งตลอดจนใบรับที่แสดงว่าได้ส่งหนังสือแจ้งการประเมินครั้งแรกให้แก่จำเลยรับไปโจทก์ก็มิได้นำสืบ และไม่มีมาเป็นพยานสนับสนุนข้ออ้างกลับได้ความตามคำแถลงของโจทก์และในบันทึกท้ายหนังสือแจ้งการระเมินครั้งแรกโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของโจทก์บันทึกไว้ว่า “ลงทะเบียนปิดเรื่องแล้ว เมื่อวันที่6 กันยายน 2521″ แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่แผนกสารบรรณของโจทก์ได้ส่งหนังสือแจ้งการประเมินลงวันที่ 30 สิงหาคม 2521 ไปยังจำเลยและจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วอย่างช้าในวันที่ 6 กันยายน2521 มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของโจทก์จะบันทึกการปิดเรื่องไว้ทำไม เมื่อจำเลยปฏิเสธว่าคดีโจทก์ขาดอายุความโจทก์จะต้องนำสืบให้ศาลเชื่อว่าเป็นดังที่โจทก์กล่าวอ้าง และการนำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวก็เป็นการนำสืบในสิ่งที่อยู่ในการรู้เห็นของโจทก์เมื่อโจทก์มิได้นำสืบ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่า โจทก์ได้แจ้งการประเมินให้จำเลยทราบแล้วอย่างช้าเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2521การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี ดังนั้นการแจ้งการประเมินภาษีอากรย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 อายุความเรียกร้องให้จำเลยเสียภาษีรายพิพาทจึงเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2521 ซึ่งพ้นระยะเวลาสามสิบวันที่กำหนดให้นำค่าภาษีไปชำระตามหนังสือแจ้งการประเมินและพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากร อันโจทก์อาจบังคับยึดทรัพย์หรือใช้สิทธิฟ้องร้องได้เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2532 เกิน 10 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 167 ที่โจทก์มีหนังสือแจ้งการประเมินไปยังจำเลยครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2526 จึงไม่ทำให้อายุความที่สะดุดหยุดลงแล้วสะดุดหยุดลงอีก เพราะจะมีผลเป็นการขยายอายุความที่กฎหมายกำหนดไว้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 191… ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นต่อไป”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share