คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2637/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญารับจะติดต่อทางการให้ออกใบอนุญาตส่งเสริมการลงทุนให้โจทก์จนเป็นผลสำเร็จ โดยโจทก์จะให้ค่าตอบแทนแก่จำเลย 300,000 บาท โจทก์ได้จ่ายเงินล่วงหน้าให้จำเลยไปแล้ว 100,000 บาท จำเลยได้ออกเช็คพิพาทจำนวนเงิน 100,000 บาทให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันโดยมีข้อตกลงว่าถ้าจำเลยทำการไม่สำเร็จจะคืนเช็คดังกล่าวให้จำเลย และจำเลยจะต้องคืนเงิน 100,000 บาท ให้โจทก์ ปรากฏว่าขณะโจทก์ยื่นขอรับทุนนั้น ตามเงื่อนไขของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนโจทก์จะต้องทำสัญญาและนำเงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลไปวางเป็นจำนวนเงิน 250,000 บาท ต่อเมื่อได้รับอนุมัติตามคำขอแล้ว แต่ต่อมาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใหม่ และแจ้งตามเงื่อนไขใหม่นี้ให้โจทก์นำเงินหรือสัญญาค้ำประกันของธนาคารไปวางเป็นมูลค่า 9,000,000 บาท ภายในวันที่กำหนดก่อนได้รับอนุมัติคำขอ ดังนี้จำนวนเงินที่โจทก์ต้องวางสูงกว่าเดิมมาก และภายในเวลาจำกัด ทั้งไม่แน่นอนว่าจะได้รับอนุมัติหรือไม่ การที่โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขใหม่ของคณะกรรมการที่แจ้งมาดังกล่าว ไม่ใช่ความผิดโดยตรงของโจทก์ ถือว่าจำเลยไม่สามารถติดต่อให้โจทก์ได้มาซึ่งใบอนุญาตส่งเสริมการลงทุนตามสัญญาจำเลยต้องคืนเงิน 100,000 บาท ให้โจทก์ เช็คพิพาทจึงมีมูลหนี้ เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยจึงต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คของธนาคารศรีนคร จำกัด ลงวันที่ 16เมษายน 2517 จำนวนเงิน 100,000 บาท ซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์เป็นค่าคืนเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์ วันที่ 17 เมษายน 2517 โจทก์นำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ ณ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารศรีนคร จำกัด ปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามจำเลยแล้วจำเลยเพิกเฉยเสีย ขอให้จำเลยใช้เงิน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์เพื่อเป็นหลักฐานค้ำประกันเงินค่านายหน้า ไม่มีเจตนาจะให้ใช้เงินตามเช็ค ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เสร็จให้โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ว่า ไม่ต้องใช้เงินตามเช็คให้โจทก์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ยื่นคำขอต่อสำนักงานส่งเสริมการลงทุนเพื่อขอรับทุนส่งเสริมตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทอผ้า หลังจากนั้นโจทก์ให้จำเลยวิ่งเต้นติดต่อ หากได้รับทุนตามที่ต้องการแล้วจะให้เงินจำเลยเป็นค่าตอบแทน300,000 บาท โจทก์ จำเลยได้ทำสัญญานายหน้ากัน และโจทก์ได้จ่ายเงินจำนวน 100,000 บาทให้จำเลยและจำเลยได้ออกเช็คฉบับพิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้ มีข้อตกลงกันว่าถ้าจำเลยวิ่งเต้นติดต่อไม่เป็นผลสำเร็จ โจทก์จะคืนเช็คพิพาทให้จำเลย และจำเลยจะคืนเงินให้โจทก์

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 ว่า ขณะโจทก์ยื่นคำขอรับทุนส่งเสริมการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทอผ้าเมื่อเดือนเมษายน 2516 นั้นทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีเงื่อนไขว่า เมื่อโจทก์ได้รับอนุมัติตามคำขอแล้ว โจทก์จะต้องทำสัญญาและนำเงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลมาวางต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเป็นหลักประกันในการดำเนินงานเป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนแกนปั่นด้ายและเครื่องทอผ้าที่ได้รับอนุมัติ (แกนปั่นด้ายละ 10 บาท และเครื่องทอผ้าละ 100 บาท) ภายใน 30 วันซึ่งโจทก์อ้างว่าจะวางเงินประกันเพียงจำนวน 250,000 บาท แต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2516 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้มีมติเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่และแจ้งให้โจทก์นำหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารมาวางต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 9,000,000 บาทภายในวันที่30 มิถุนายน 2516 ก่อนได้รับอนุมัติตามคำขอ ซึ่งเป็นจำนวนเงินวางประกันสูงกว่าเดิมมาก และภายในเวลาจำกัด ทั้งไม่แน่นอนว่าจะได้รับอนุมัติหรือไม่เห็นว่าการที่โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติตามเอกสารหมาย ล.2 ได้ มิใช่เป็นความผิดโดยตรงของโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถติดต่อให้โจทก์ได้มาซึ่งใบอนุญาตส่งเสริมการลงทุนตามสัญญาได้ จำเลยจึงต้องคืนเงิน 100,000 บาทที่รับไปแก่โจทก์ตามข้อ 2 ของสัญญานายหน้าหมาย ล.1 เนื่องจากจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเป็นการค้ำประกันการคืนเงิน 100,000 บาทให้โจทก์ไว้ตามสัญญาเช็คพิพาทจึงมีมูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลย เมื่อโจทก์คืนเช็คพิพาทให้จำเลยและขอเงินคืนแต่จำเลยขอผัดไปเรื่อย ๆ จำเลยหาหลุดพ้นจากความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้ให้โจทก์ตามเช็คพิพาทไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share