คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยมีห. และพ. นั่งซ้อนท้ายแล่นแซงหน้ารถยนต์ของผู้เสียหายจนผู้เสียหายหยุดรถเมื่อผู้เสียหายลงจากรถก็ถูกจำเลยชกที่ใบหน้า1ครั้งและต่อมาถูกรุมทำร้ายถึงหมดสติห. ขับรถยนต์ของผู้เสียหายออกไปจำเลยขับรถจักรยานยนต์แล่นตามไปครั้นรถยนต์ของผู้เสียหายยางล้อหลังด้านซ้ายแตกไม่อาจแล่นต่อไปได้จำเลยก็หยุดรถจักรยานยนต์รับห. ไปด้วยเมื่อพ. ลงจากรถจักรยานยนต์ก็บอกจำเลยว่าได้กระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายมาด้วยการที่ห. ขับรถยนต์ของผู้เสียหายไปนั้นจำเลยรู้เห็นด้วยจึงได้ขับรถจักรยานยนต์ติดตามไปและเมื่อรถยนต์ของผู้เสียหายเกิดยางแตกแล่นต่อไปไม่ได้จำเลยก็จอดรถจักรยานยนต์รับห. ไปด้วยแล้วพากันหลบหนีไปพฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับพวกมาตั้งแต่ต้นจนเหตุการณ์สิ้นสุดลงถือได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับห. และส. กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 83 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 12,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคแรก, 340 ตรี, 83 ลงโทษจำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน และข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปีและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 12,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าในคืนเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านแสงทองผู้เสียหายได้พบจำเลยกับพวกอีก 2 คน ครั้นเวลา 24 นาฬิกาจำเลยกับพวกได้ชวนผู้เสียหายไปรับประทานอาหารต่อที่ร้านอู่ทองผู้เสียหายขับรถยนต์เก๋งถึงร้านอู่ทอง แต่ได้ขับเลยไปทางถนนธนบุรี-ปากท่อ แล้วเลี้ยวขวา รถจักรยานยนต์ซึ่งมีจำเลยกับพวกนั่งอยู่ได้แล่นแซงหน้ารถผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงหยุดรถเมื่อผู้เสียหายลงจากรถก็ถูกจำเลยชกที่ใบหน้า 1 ครั้ง และต่อมาถูกรุมทำร้ายถึงหมดสติ เมื่อฟื้นคืนสติผู้เสียหายพบว่ารถยนต์สร้อยทองคำหนัก 2 บาท 1 เส้น เหรียญรัชกาลที่ 6 เลี่ยมทองคำ1 องค์ กระเป๋าใส่เงิน 1 ใบ มีเงิน 1,500 บาท รวมราคา 82,000 บาทของผู้เสียหายไป หลังจากผู้เสียหายถูกทำร้ายแล้ว นายหมูขับรถยนต์เก๋งของผู้เสียหายออกไป ส่วนจำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยมีนายพจน์นั่งซ้อนท้ายแล่นตามไป ครั้นถึงบริเวณบริษัทสงวนไทยมอเตอร์ จำกัด รถยนต์เก๋งของผู้เสียหายยางล้อหลังด้านซ้ายแตกไม่อาจแล่นต่อไปได้ นายหมูหยุดรถ จำเลยก็ได้หยุดรถจักรยานยนต์รับนายหมูไปด้วย เมื่อถึงวัดแก้วเจริญนายพจน์ได้ลงจากรถและบอกจำเลยว่าได้กระเป๋าสตางค์ของเจ้าของรถยนต์เก๋งมาด้วย เห็นว่า การที่นายหมูขับรถยนต์เก๋งของผู้เสียหายไปนั้น จำเลยรู้เห็นด้วยจึงได้ขับรถจักรยานยนต์ติดตามไป และเมื่อรถยนต์เก๋งของผู้เสียหายเกิดยางแตกแล่นต่อไปไม่ได้ นายหมูหยุดรถจำเลยก็จอดรถจักรยานยนต์รับนายหมูไปด้วยแล้วพากันหลบหนีไป พฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกระทำผิดกับพวกมาตั้งแต่เริ่มต้นจนเหตุการณ์สิ้นสุดฟังได้ว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันปล้นรถยนต์และทรัพย์สินอื่นของผู้เสียหายไปดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share