คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเจตนาจะชำระหนี้ทั้งหมดตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่มีอยู่แก่โจทก์และจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์เกินกว่าจำนวนเงินที่โจทก์แจ้งยอดค้างชำระหนี้ให้จำเลยทราบกรณีเช่นนี้จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยต้องชำระหนี้โจทก์โดยมูลหนี้หลายรายแล้วชำระหนี้ไม่เพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้หมดทุกรายอันจะนำไปสู่การพิจารณาว่าการชำระหนี้ของจำเลยจะเป็นการเปลื้องหนี้รายใดก่อนหลังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา328เมื่อปรากฎว่าโจทก์คำนวณยอดหนี้ตามสัญญากู้เงินผิดพลาดส่วนยอดหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีถูกต้องอีกทั้งจำนวนเงินที่จำเลยชำระก็เพียงพอและถูกต้องตามยอดหนี้ในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงถือได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบถ้วนและหนี้ดังกล่าวระงับไปแล้วโจทก์จะนำเงินที่จำเลยชำระไปหักชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินที่โจทก์คำนวณยอดหนี้ผิดพลาดก่อนโดยพลการไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันบอกเลิกสัญญาถึงวันฟ้องรวม409,633.94 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ17.25 ต่อปี จากต้นเงิน 373,935.90 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระหนี้เสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จริง แต่จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีกหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 373,935.90 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.25 ต่อปี แบบไม่ทบต้นจากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 20 กรกฎาคม 2535)จนถึงวันชำระหนี้เสร็จ ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน35,698.04 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกหนี้ตามสัญญากู้เงินจากจำเลยเสียใหม่ให้ถูกต้องภายในกำหนดอายุความ ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์792.50 บาท แก่จำเลย ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลนอกนั้นให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยมีเจตนาจะชำระหนี้ทั้งหมดตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่มีอยู่แก่โจทก์และก็ได้มีการชำระหนี้แก่โจทก์เกินกว่าจำนวนเงินที่โจทก์ได้แจ้งยอดค้างชำระหนี้ให้จำเลยทราบ ซึ่งในข้อนี้จำเลยเบิกความรับว่าเจ้าหน้าที่ของโจทก์บอกให้จำเลยไปเบิกเงินส่วนที่จำเลยชำระเกินจากโจทก์ในภายหลัง และโจทก์ก็ได้ประทับตรายกเลิกสัญญากู้เงินและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยได้ทำไว้กับโจทก์ด้วยกรณีเช่นนี้จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยต้องชำระหนี้โจทก์โดยมูลหนี้หลายรายแล้วชำระหนี้ไม่เพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้หมดทุกรายอันจะนำไปสู่การพิจารณาว่าการชำระหนี้ของจำเลยจะเป็นการเปลื้องหนี้รายใดก่อนหลังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 แต่เห็นว่าเมื่อหนี้ที่จำเลยเจตนาจะชำระมีทั้งหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เมื่อปรากฎว่าความผิดพลาดในการคำนวณยอดหนี้เกิดจากยอดเงินตามสัญญากู้เงินในเอกสารหมาย จ.19 เท่านั้นส่วนหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชียอดหนี้ในการ์ดบัญชีกระแสรายวันถูกต้องแล้ว อีกทั้งจำนวนเงินที่จำเลยชำระไปนั้นก็เพียงพอและถูกต้องตามยอดหนี้ในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงถือได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบถ้วนแล้วและหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันระงับไปแล้วโจทก์จะนำเงินที่จำเลยได้ชำระไปหักชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินที่มีการคำนวณยอดหนี้ผิดพลาดนั้นก่อนโดยพลการหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share