คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 262/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย่อยาว

คดีโจทย์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๑ เวลากลางวัน จำเลยเปนผู้ร้ายแย่งชิงทรัพย์ของนายแทงไปตามบาญชีท้ายฟ้องรวมราคา ๑๘๔ บาท ๒๕ สตางค์ แลได้ทำร้ายร่างกายนายแตงมีบาดแผลสาหัส นายแตงตายด้วยบาดแผลที่จำเลยกระทำ เหตุเกิดที่ตำบลบางซ้าย จังหวัดอ่างทอง ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๙๘-๒๙๙-๓๐๐ แลมาตรา ๒๕๐-๒๕๑ กับให้ใช้ทรัพย์แก่ผู้ปกครองนายแตงด้วย ฯ
จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อหา ฯ
ศาลจังหวัดอ่างทอง พิจารณาลงความเห็นว่า ตามคำพยานโจทย์ควรฟังว่าจำเลยเปนผู้ฟันนายแตงตายโดยความมึนเมาจำเลยมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๔๙ ควรลงโทษจำคุกจำเลย ๑๕ ปี แต่จำเลยกระทำนายแตงโดยดาลโทษะซึ่งนายแตงเปนผู้ก่อกรณีขึ้นก่อนจำเลยควรได้รับความปราณีย์ลดโทษตามมาตรา ๕๕ กึ่งหนึ่ง คงให้ลงโทษจำคุกจำเลย ๗ ปี ๖ เดือน ส่วนข้อชิงทรัพย์ให้ยกเสีย เพราะความไม่กระจ่าง ฯ
อธิบดีศาลมณฑลอยุธยามีความเห็นแย้งว่า พยานโจทย์ที่อ้างว่าเห็นจำเลยทำร้ายนายแตงก็มีคำนายหินปากเดียว ทั้งคำนายหินก็ให้การกลับไปกลับมาไม่เปนที่เชื่อฟังได้ เปนเหตุให้สงสัย ควรให้ยกฟ้องโจทย์ปล่อยตัวจำเลย ฯ
จำเลยอุทธรณ ฯ
ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกับผู้ตายเปนคนชอบพอกัน แลเกี่ยวเปนญาติกันด้วย เมื่อวันเกิดเหตุนายแตงกับจำเลยแลนายหินผู้ใหญ่บ้านเสพสุราอยู่ที่บ้านนางหวอด ครั้นเสพสุราแล้วก็พากันไปจากบ้านนางหวอด แล้วนายแตงได้ซื้อสุราที่บ้านนายเถื่อนจำเลยแลนายหินอีก ขณะนี้นายแตงเมาสุรามาก จำเลยกับนายหินได้ช่วยกันพยุงนายแตงเพื่อไปส่งที่บ้านนายย้ำ พอถึงที่เกิดเหตุนายแตงฟุบตัวลงนอนเสียไม่ไป จำเลยได้เก็บเอามีดแลไม้ของนายแตงไว้ เพราะเกรงว่าถ้าใครมาพบเข้าจะเอาไปเสีย แล้วนายหินกับจำเลยก็พากันกลับ นายแตงคงนอนอยู่ในที่นั้นแต่ผู้เดียว รุ่งขึ้นปรากฎว่านายแตงมีบาดแผลถูกทำร้ายนอนตายอยู่ในที่นั้นเอง ชั้นแรกอำเภอผู้ไต่สวนสงสัยจำเลยกับนายหินว่าเปนผู้ทำร้ายนายแตงจึงจับตัวจำเลยกับนายหินไปไต่สวน จำเลยแลนายหินต่างให้การปฏฺเสธ ภายหลังนายหินกลับให้การว่า เห็นจำเลยเปนผู้ทำร้ายนายแตงแลเก็บเอามีดกับไม้ของนายแตงไว้ อำเภอให้จำเลยนำไปเอามีดกับไม้นั้นมาตรวจเห็นว่าไม้นั้นมีรอยเปื้อนโลหิตสด ๆ โจทย์จึงฟ้องจำเลยแต่ผู้เดียวดังนี้ เห็นว่าคดีโจทย์มีพยานสำคัญก็แต่คำนายหินเท่านั้น แต่นายหินผู้นี้ก็เปนผู้เกี่ยวข้องต้องหามาแต่แรก ครั้นนายหินกลับให้การว่าเห็นจำเลยทำร้ายผู้ตายจึงยกขึ้นเปนพยานนั้น คำนายหินหามีน้ำหนักไม่ แลข้อที่อำเภอลงสันนิษฐานว่าไม้ของผู้ตายที่จำเลยนำไปซ่อนมีรอยเปื้อนโลหิตนั้น ข้อนี้นางหวอดแลนายไทยน้องผู้ตายซึ่งเปนพยานจำเลยก็เบิกความหักล้างได้ว่า พยานได้ดูมีดแลไม้ของผู้ตายที่จำเลยนำส่งอำเภอไม่มีรอยเปื้อนโลหิตเลย มีแต่เปื้อนโคลน ฉนี้คดียิ่งชวนให้สงสัย จะฟังพยานโจทย์เพียงเท่านี้มาลงโทษจำเลยยังไม่ถนัด จึงพิพากษาให้ยกคำตัดสินศาลเดิม แลยกฟ้องโจทย์ปล่อยตัวจำเลยไป ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ประชุมปฤกษาคดีนี้ตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษวินิจฉัยยกเหตุผลว่าพยานโจทย์เบิกความเปนเหตุให้สงสัย ไม่ควรฟังมาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย เพราะเปนคดีอุกฉกรรจ์ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานในสิ่งที่ควรฟัง คดีนี้พยานโจทย์ที่สำคัญก็มีแต่คำนายหินผู้ใหญ่บ้านปากเดียว โจทย์หามีพยานอื่นเบิกความสนับสนุนในเหตุที่ควรฟังไม่ เพราะฉนั้นจะฟังพยานโจทย์แต่เพียงเท่านี้มาลงโทษจำเลยในคดีอุกฉกรรจ์ยังไม่ถนัด อาศรัยเหตุนี้จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษ ให้ยกฎีกาโจทย์เสีย ฯ
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share