คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2615/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำที่ดินโจทก์และให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยเองหากรุกล้ำที่ดินของโจทก์ก็เป็นการปลูกสร้างโดยสุจริตและต่อสู้ในเรื่องค่าเสียหาย เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริต โจทก์ย่อมไม่อาจบังคับจำเลยให้รื้อถอนอาคารที่รุกล้ำที่ดินโจทก์ได้และเนื่องจากคดีไม่มีประเด็นในเรื่องจำนวนเงินค่าใช้ที่ดิน และเรื่องการจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมตามป.พ.พ. มาตรา 1312 ศาลจึงไม่อาจพิจารณา พิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมเฉพาะที่ดินส่วนที่อาคารของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าใช้ที่ดินให้แก่โจทก์ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสร้างกำแพงบ้านและอาคารในที่ดินของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ขอให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงและอาคารของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิม โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหากพ้นวิสัยที่จะปฏิบัติตามคำขอดังกล่าวขอให้จำเลยชดใช้ค่าที่ดิน 81,500 บาทกับให้ใช้ค่าเสียหาย 39,500 บาท และเดือนละ 7,900 บาทนับแต่วันฟ้อง
จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้ปลูกสร้างบ้านรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ หากจะเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ก็เป็นการสร้างโดยสุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจให้จำเลยรื้อถอนได้หากโจทก์เสียหายความเสียหายดังกล่าวไม่เกินเดือนละ 200 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่คู่ความรับกันและไม่โต้แย้งกันว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่24000 ของโจทก์กับโฉนดเลขที่ 24001 ของจำเลยเป็นของมิซซังโรมันคาทอลิก ที่ดินทั้งสองแปลงอยู่ติดกัน โดยที่ดินโจทก์อยู่ทางด้านตะวันตก ส่วนที่ดินจำเลยอยู่ทางด้านตะวันออกด้านทิศเหนือของที่ดินทั้งสองแปลงจรดถนนสาธารณะ ที่ดินโจทก์มีเนื้อที่ 1 งาน 18 ตารางวา เฉพาะทางด้านตะวันออกของโจทก์ซึ่งติดกับที่ดินจำเลย โจทก์ได้สร้างรั้วสังกะสีตลอดแนวมานานแล้วโจทก์รับโอนที่ดินมาเมื่อ พ.ศ. 2520 ที่ดินจำเลยเดิมเป็นที่ดินว่างเปล่า นอกจากทางด้านทิศเหนือซึ่งจรดถนนสาธารณะแล้ว ด้านอื่น ๆมีรั้วบ้านเจ้าของที่ดินข้างเคียงอยู่แล้วทั้งสิ้น จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับมิซซังโรมันทอลิก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์2525 แล้วก่อสร้างอาคารในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยสร้างฝาอาคารเป็นคอนกรีตชิดรั้วสังกะสีของโจทก์โจทก์จำเลยต่างเคยขอให้เจ้าพนักงานไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของตนประเด็นแรกที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยปลูกสร้างรั้วกำแพงและอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า เดิมโจทก์เช่าที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 24000 เมื่อประมาณปี 2500 โดยสร้างบ้านและล้อมรั้ว ครั้นเมื่อประมาณ 15 ปีมานี้ ได้ซื้อผ่อนส่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 24000ดังกล่าว จึงได้ขยายรั้วออกไปโดยทางมิซซังโรมันคาทอลิกได้มาชี้แนวเขต ขณะนั้นยังไม่มีหลักหมุด เป็นการชี้คร่าว ๆ ต่อมาปี พ.ศ. 2514 เจ้าหน้าที่กรมที่ดินจึงมาลงหลักหมุดที่นอกรั้ว โจทก์มิได้ขยายรั้วออกไป เพราะเห็นว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 24001ยังเป็นของมิซซังโรมันทอลิกอยู่ และโจทก์ตั้งใจจะซื้อที่ดินดังกล่าวให้ญาติผู้ใหญ่อยู่อาศัยด้วย นายดำรงค์ ศัพทะเสวี นายช่างรังวัดกรมที่ดินเบิกความว่า เป็นผู้ทำแผนที่พิพาท แผนที่แผ่นแรกเป็นรูปแผนที่หลังโฉนดเดิม ส่วนแผนที่สองเป็นแผนที่พิพาท พิเคราะห์ถึงรูปแผนที่หลังโฉนดเดิมจะเห็นได้ว่าแนวที่ดินของโจทก์ด้านตะวันออกคือด้านที่ติดกับที่ดินของจำเลยนั้น เป็นแนวเส้นตรงจากทิศเหนือลงมาทิศใต้ถึงสุดที่ดินของจำเลยแล้วก็ยังคงเป็นแนวตรงลงไปอีก จนสุดเขตที่ดินของโจทก์อันมีแนวเขตที่ยาวกว่า ซึ่งตรงกับโจทก์นำชี้ในแผนที่พิพาท คือเมื่อรวมที่พิพาทแล้วเส้นดังกล่าวจะเป็นเส้นตรงตามรูปแผนที่หลังโฉนด ซึ่งหากแนวเขตที่ดินของจำเลยทางด้านติดกับที่ดินของโจทก์ เป็นไปตามที่จำเลยนำชี้แล้ว แนวเขตของโจทก์ตามรูปแผนที่หลังโฉนดก็เป็นเส้นขยักออกไปทางตะวันออกเมื่อสุดเขตที่ดินของจำเลยทางทิศใต้แล้ว อันไม่ตรงกับรูปแผนที่หลังโฉนด อนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงเอกสารหมาย จ.1 อันได้แก่สำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 24000 จะเห็นได้ว่าทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 24000และ 24001 ตลอดจนที่ดินอีกหลายแปลงได้ถูกแบ่งออกมาจากที่ดินแปลงใหญ่ตามผังในโฉนดเลขที่ 24000 ทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงลักษณะของรูปที่ดินแต่ละแปลงที่ปรากฏบนผังแล้วจะเห็นได้ว่าบางแปลงมีลักษณะถูกแบ่งเป็นแปลงหลัก แล้วมีแปลงอื่นซึ่งเล็กกว่าถูกแบ่งตามลักษณะของที่ดินที่เหลือซึ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่24000 เป็นที่ดินแปลงใหญ่ เนื้อที่ 1 งาน 18 ตารางวา ด้านทิศเหนือจรดถนนถูกแบ่งออกมาเป็นที่ดิน แปลงหลัก ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่24001 และแปลงถัดไปทางตะวันออกตลอดจนที่ดินแปลงอื่นที่อยู่ทางด้านตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ 24000 เป็นที่ดินที่แบ่งตามลักษณะของที่ดินที่เหลือ โดยผังที่ดินตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้นที่ดินโฉนดเลขที่ 24000 ของโจทก์ มีรูปเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านเหนือจรดถนนสาธารณะ แนวเขตทางด้านตะวันออกและตะวันตกเป็นแนวตรงจากทางทิศเหนือมายังทิศใต้ทั้งสองด้าน ที่พิพาทจึงไม่มีทางที่จะเป็นของจำเลย ที่จำเลยนำสืบว่าที่ดินโจทก์มีอยู่ตามแนวรั้วสังกะสีของโจทก์โดยมีนายสวัสดิ์ ครุวรรณ ซึ่งเคยทำงานอยู่ที่มิซซังโรมันคาทอลิก เป็นพยานเบิกความว่าได้ชี้ที่ดินของจำเลยให้จำเลยดูก่อนจำเลยจะซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ 24001 แนวเขตด้านที่ติดกับที่ดินของโจทก์คือรั้วของโจทก์นั้น เห็นว่า เป็นการชี้โดยมิได้มีการตรวจสอบให้ถูกต้อง จึงรับฟังไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ส่วนหนึ่งของที่ดินโจทก์คือ ที่พิพาทอยู่นอกรั้วสังกะสีของโจทก์ เป็นเพราะเดิมโจทก์เช่าที่ดินของมิซซังมาก่อน 20 ปี แล้วจึงได้ซื้อที่ดินผ่อนคือที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 24000 โดยขณะซื้อที่ดินนั้นยังไม่มีหลักหมุด ได้ทำรั้วตามที่ทางมิซซังโรมันคาทอลิกนำชี้ ต่อมาเมื่อมีการปักหลักหมุด จึงปรากฏว่าที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดดังกล่าวอยู่นอกรั้วโจทก์มิได้รื้อรั้วเพราะที่ดินตาม โฉนดเลขที่ 24001 ยังเป็นของมิซซังโรมันคาทอลิกอยู่ แต่โจทก์ก็ตั้งใจจะซื้อให้ผู้ใหญ่อยู่อาศัย ตามที่โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยได้สร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ คือที่พิพาทคดีนี้ส่วนรั้วนั้นจากพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้สร้างขึ้นในส่วนใดของที่ดินโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ประเด็นต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ได้สร้างรั้วสังกะสีเป็นแนวเขตซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงเช่นนี้ ทั้งยังปรากฏจากคำเบิกความของนายสวัสดิ์ ครุวรรณ พยานจำเลยซึ่งเคยทำงานอยู่กับมิซซังโรมันคาทอลิกมาเป็นเวลา 30 ปี โดยมีหน้าที่ดูแลและเก็บค่าเช่าที่ดินเบิกความว่า เป็นผู้ชี้แนวเขตของที่ดินโฉนดเลขที่24001 ของจำเลยให้จำเลยทราบว่าแนวเขตคือแนวรั้วสังกะสีของโจทก์แล้ว ย่อมเห็นได้ว่าการที่จำเลยก่อสร้างอาคารตามแนวรั้วสังกะสีย่อมเป็นการกระทำโดยสุจริต จำเลยจึงเป็นเจ้าของอาคารที่สร้างขึ้นในส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์คือบางส่วนของที่พิพาทคดีนี้ โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์ได้ ส่วนเรื่องจำนวนเงินค่าใช้ที่ดิน และการจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอมในที่ดินส่วนที่จำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำนั้น เนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำที่ดินโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยเอง หากรุกล้ำที่ดินของโจทก์ก็เป็นการปลูกสร้างโดยสุจริต และต่อสู้ในเรื่องค่าเสียหายเช่นนี้คดีย่อมไม่มีประเด็นในเรื่องจำนวนเงินค่าใช้ที่ดิน และเรื่องการจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 ที่จะให้ศาลวินิจฉัยต่อไปได้ ในชั้นนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะไปว่ากล่าวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312

Share