แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาจ้างเหมาจำเลยปลูกสร้างอาคาร แม้มิได้มีกำหนดเวลาโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและส่งมอบอาคาร แต่เมื่อเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระตอบแทนแก่โจทก์ เมื่อปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปเนิ่นนานโดยมิได้ปฏิบัติตามสัญญา และได้รับทำแบบคำร้องขอยกเลิกสัญญาเพื่อให้ผู้ที่เข้าทำสัญญากรอกเพื่อเลิกสัญญาและขอเงินที่ชำระแล้วคืนจากจำเลย แสดงว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ทั้งคำร้องนั้นก็มีผลเป็นคำสนองรับคำเสนอของจำเลย ทำให้สัญญาเลิกกันทันที จำเลยต้องคืนเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 715,599.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 526,673 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำนวน 526,673 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 526,674 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 7,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโครงการบ้านเมืองทอง แปลงหมายเลขที่ เค 927 จากจำเลย และทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยปลูกสร้างอาคารบนที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์ผ่อนชำระเงินตามสัญญาแก่จำเลยไปแล้ว รวม 22 งวด มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาจ้างเหมาจำเลยปลูกสร้างอาคารตั้งแต่ปี 2535 หลังจากนั้นเป็นเวลา 4 ปีเศษ จำเลยยังก่อสร้างอาคารที่โจทก์จ้างเหมาไม่แล้วเสร็จ แม้สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยมิได้กำหนดเวลาโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและส่งมอบอาคารที่ก่อสร้างก็ตาม แต่สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยจึงมีหนี้ที่จะต้องชำระตอบแทนแก่โจทก์ คือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบอาคารที่ก่อสร้างให้ เมื่อจำเลยปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปเนิ่นนานโดยมิได้ปฏิบัติตามสัญญาเช่นนี้จึงถือได้ว่าเป็นการผิดสัญญา นอกจากนี้การที่จำเลยจัดทำแบบคำร้องขอยกเลิกสัญญา เพื่อให้ผู้ที่เข้าทำสัญญากรอกเพื่อเลิกสัญญาและขอเงินที่ชำระแล้วคืนจากจำเลยนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมรับสภาพตามความเป็นจริงว่า จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน และสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างต่อไปได้ ทั้งคำร้องขอเลิกสัญญาที่จำเลยจัดทำขึ้นนั้นก็มีผลเป็นการทำคำเสนอไปยังโจทก์เพื่อให้โจทก์แสดงเจตนาว่าจะตกลงเลิกสัญญาหรือไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์กรอกแบบคำร้องแจ้งความประสงค์ขอเลิกสัญญาและขอเงินคืนจากจำเลย จึงมีผลเป็นคำสนองรับคำเสนอของจำเลย ทำให้สัญญาเป็นอันเลิกกันทันที จำเลยต้องคืนเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 6,000 บาท.