แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามสัญญากำหนดให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าเป็นฝ่ายชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินแต่เมื่อโจทก์รับแจ้งการประเมินแล้วโจทก์ไม่ได้แจ้งการประเมินให้จำเลยทราบและไม่ได้บอกให้จำเลยชำระภาษีภายในกำหนดที่เจ้าพนักงานแจ้งมาทั้งจำเลยเพิ่งได้รับแจ้งจากโจทก์ให้จำเลยชำระภาษีเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาชำระแล้วฉะนั้นการที่โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่ม จึงเป็นความผิดของโจทก์จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มคงรับผิดเพียงชำระค่าภาษีพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าภาษีต่อเจ้าพนักงานให้โจทก์
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมทั้งค่าเพิ่มภาษีคืนให้โจทก์ 58,476 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ภาษีโรงเรือนและที่ดินพิพาทในปี 2512 ถึงปี 2516 จำเลยเป็นผู้เสียตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 7เจ้าพนักงานส่งใบแจ้งรายการประเมินภาษี ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ไปยังโจทก์ที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.6 (8 แผ่น) สำหรับปี 2512และเอกสารหมาย จ.7 (8 แผ่น) สำหรับปี 2516 โจทก์ที่ 2 รับใบแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี 2512 ถึงปี 2516 ไว้เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2516 ตามเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.6 คดีมีปัญหาตามคำขอท้ายฎีกาจำเลยว่า จำเลยควรรับผิดชำระภาษีอย่างเดียวหรือต้องชำระเงินเพิ่มด้วยโจทก์นำสืบว่า โจทก์แจ้งให้จำเลยไปเสียภาษีแล้ว จำเลยไม่เสีย ทำให้โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่ม จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มให้โจทก์ จำเลยนำสืบว่าโจทก์มีหน้าที่แจ้งรายการประเมินภาษีของเจ้าพนักงานไปให้จำเลยทราบเพื่อดำเนินการเสียภาษีภายในกำหนด แต่โจทก์ไม่แจ้งและเพิ่งเตือนให้จำเลยเสียภาษีเมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินเพิ่ม
พิเคราะห์แล้ว ปรากฏว่าเจ้าพนักงานแจ้งรายการประเมินภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 24 ไปยังโจทก์ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้รับประเมิน โดยเป็นบุคคลผู้พึงชำระภาษี และมาตรา 40วางหลักไว้ว่า เจ้าของทรัพย์สินเป็นผู้เสียภาษี เท่ากับต้องรับภาระภาษีโดยตรงเพียงฝ่ายเดียว สำหรับกรณีนี้มีข้อตกลงตามสัญญาให้จำเลยเป็นผู้เสียภาษี เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งการประเมินแล้วและไม่ติดใจอุทธรณ์การประเมิน โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยเสียภาษีให้โจทก์ตามสัญญาได้ หากจำเลยไม่ชำระและทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยต้องรับผิดในความเสียหายนั้นต่อโจทก์ ปัญหาจึงมีว่า โจทก์เรียกร้องให้จำเลยเสียภาษีภายในกำหนดหรือไม่ โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2517 โจทก์รับหนังสือจากพนักงานเจ้าหน้าที่เขตธนบุรีเตือนให้ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินค้างจ่ายแต่ปี 2512 ถึงปี 2516 โจทก์บอกให้จำเลยชำระ จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมา หนังสือฉบับนี้คือหนังสือตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งเจ้าพนักงานเตือนให้โจทก์ชำระค่าภาษีและเงินเพิ่มภายหลังเวลาที่กำหนดให้ชำระค่าภาษีล่วงพ้นไปแล้ว และโจทก์ที่ 2 เบิกความว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่แจ้งให้จำเลยไปเสียภาษีตามที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินมาจากเจ้าพนักงานแสดงว่าเมื่อโจทก์รับแจ้งการประเมินแล้ว โจทก์ไม่ได้แจ้งการประเมินให้จำเลยทราบ และไม่ได้บอกให้จำเลยชำระภาษีภายในกำหนดที่เจ้าพนักงานแจ้งมา ทั้งจำเลยนำสืบฟังได้ว่า จำเลยเพิ่งได้รับแจ้งจากโจทก์ให้จำเลยชำระภาษีเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาชำระแล้ว ฉะนั้นการที่โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่ม จึงเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินเพิ่ม คงรับผิดเพียงชำระค่าภาษีพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าภาษีต่อเจ้าพนักงานให้โจทก์ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมเป็นเงิน53,160 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินสำหรับปี 2512 และปี 2513 รวมเป็นเงิน 21,120 บาท นับแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2518 สำหรับปี2514 เป็นเงิน 10,560 บาท นับแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2519 สำหรับปี 2515เป็นเงิน 10,740 บาท นับแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2520 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”