คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1765/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารที่มีข้อความว่า “วันนี้ ข้าพเจ้านายสำราญ พานิชย์ ตัวแทนของนายยักโม ฮัลซิงห์ ได้รับชำระหนี้จากนายชัยยุทธ วงษ์เมธา ลูกหนี้ของนายยักโม ฮัลซิงห์ตามสัญญากู้ลงวันที่ 1 มกราคม 2506เป็นเงิน 14,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยครบถ้วนแล้ว และข้าพเจ้าจะได้นำเงินทั้งหมดนี้ไปชำระให้นายยักโม ฮัลซิงห์ เจ้าหนี้ต่อไปจึงได้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน” นั้น เป็นหลักฐานแสดงถึงฐานะของนายสำราญตัวแทนโจทก์ในอันที่จะรับชำระหนี้จากลูกหนี้เป็นหลักฐานแสดงว่าตัวแทนได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้แทนตัวการแล้วและเป็นหลักฐานแสดงว่าตัวแทนจะเอาเงินดังกล่าวไปส่งแก่ตัวการต่อไป เช่นนี้ ไม่เป็นใบรับตามประมวลรัษฎากร แต่เป็นหลักฐานการใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 2(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 24/2515)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๖ จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินของโจทก์ไป ๑๔,๐๐๐ บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีทุกเดือนไปและจะใช้ต้นเงินคืนภายในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันปรากฏตามสำเนาสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเงินกู้ท้ายฟ้อง จำเลยที่ ๑ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๖ ต่อจากนั้นไม่ชำระอีกเลยโจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองก็เพิกเฉยเสีย จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๙,๖๒๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ใช้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวม ๒๔,๔๒๐ บาท ให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถใช้ได้ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน๑๔,๘๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินโจทก์และจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้รายนี้จริง แต่จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วโดยจำเลยที่ ๑ได้ขายที่ดินและเรือนชำระหนี้ตามคำสั่งโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗เป็นเงิน ๑๓,๐๐๐ บาท รวมกับเงินที่จำเลยมีอยู่ ชำระให้แก่นายสำราญตัวแทนของโจทก์ครบถ้วนแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่า นายสำราญ พานิชย์ เป็นตัวแทนของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ชำระหนี้ให้โจทก์โดยผ่านนายสำราญ พานิชย์ ตัวแทน ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๑ แล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แล้วจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันย่อมพ้นความรับผิด พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ ๓๐๐ บาทแทนจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายสำราญ พานิชย์ เป็นตัวแทนโจทก์ในอันที่จะรับเงินจากจำเลย แต่ที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วตามใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย ล.๑นั้น เอกสารหมาย ล.๑ รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ เพราะมิได้เสียอากรโดยปิดอากรแสตมป์ตามจำนวนที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร จำเลยจึงต้องแพ้คดีโจทก์พิพากษากลับให้จำเลยที่ ๑ ชำระต้นเงิน ๑๔,๘๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี แก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๖จนกว่าจำเลยจะใช้เงินให้โจทก์เสร็จ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถชำระได้ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลและค่าทนายความสองศาลเป็นเงิน ๕๐๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องแรกฟังได้ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายสำราญ พานิชย์ เป็นตัวแทนในอันที่จะรับชำระหนี้จากจำเลยจำเลยได้นำสืบว่าจำเลยที่ ๑ ได้ชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว โดยชำระแก่นายสำราญ พานิชย์ ตามเอกสารหมาย ล.๑ ปัญหาที่ว่าเอกสารหมาย ล.๑เป็นใบรับตามประมวลรัษฎากรหรือไม่นั้น ได้พิเคราะห์ตามสภาพของเอกสารหมาย ล.๑ ซึ่งมีข้อความว่า “วันนี้ข้าพเจ้านายสำราญ พานิชย์ ตัวแทนของนายยักโม ฮัลซิงห์ ได้รับเงินชำระหนี้จากนายชัยยุทธ วงษ์เมธา ลูกหนี้ของนายยักโม ฮัลซิงห์ตามสัญญากู้ลงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๖ เป็นเงิน ๑๔,๘๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยครบถ้วนแล้ว และข้าพเจ้าจะได้นำเงินทั้งหมดนี้ไปชำระให้นายยักโม ฮัลซิงห์ เจ้าหนี้ต่อไปจึงได้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน” เซ็นชื่อ นายสำราญพานิชย์ ผู้รับเงิน ชื่อจำเลยที่ ๑ ผู้ชำระเงินและพยาน เอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานแสดงถึงฐานะของนายสำราญตัวแทนโจทก์ในอันที่จะรับชำระหนี้จากลูกหนี้เป็นหลักฐานแสดงว่าตัวแทนได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้แล้วแทนตัวการและเป็นหลักฐานแสดงว่าตัวแทนจะเอาเงินดังกล่าวไปส่งตัวการต่อไป ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เอกสารหมาย จ.๑ ไม่เป็นใบรับตามประมวลรัษฎากร
เมื่อวินิจฉัยเอกสารหมาย ล.๑ มิใช่ใบรับตามประมวลรัษฎากรแล้วเอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่ตราสารอันจะต้องปิดอากรแสตมป์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานการใช้เงินประกอบข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรค ๒ฟังได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้รายนี้ให้โจทก์แล้วไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออื่นของจำเลยต่อไป คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
จึงพิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาแทนจำเลยทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความให้รวม ๔๐๐ บาท

Share