คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2605/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16บัญญัติให้ถือว่าการกระทำที่บัญญัติไว้ในมาตรา 27 และ 99แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 เป็นความผิดโดยมิพักต้องคำนึงว่าผู้กระทำมีเจตนาหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ก็ตาม แต่การที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 27 ต้องได้ความว่าจำเลยมีเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 612-613/2511) การที่จำเลยขอชำระอากรขาเข้าสำหรับสินค้าหรือของรายพิพาท โดยระบุว่าอากรปกติในพิกัดดังกล่าวจะต้องเสียอัตราร้อยละ 15 แต่ได้รับลดหย่อนให้เสียในอัตราร้อยละ 10ตามประกาศกระทรวงการคลัง ที่ ศก.4/2517 แม้ประกาศดังกล่าวนี้จะถูกยกเลิกโดยประกาศกระทรวงการคลัง ที่ศก.6/2519ก็ตาม ข้อความที่ระบุถึงประกาศกระทรวงการคลังที่ถูกยกเลิกดังกล่าวเป็นเพียงข้อผิดพลาดหรือไม่ถูกต้อง มิใช่เป็นข้อความเท็จ แต่กรณีจะเป็นความไม่สมบูรณ์หรือชักพาให้หลงผิดหรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะเป็นเรื่องนอกเหนือคำฟ้องของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจสำแดงเท็จซึ่งใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าสำหรับสินค้าหรือของรายพิพาทรวม 11 รายการโดยขอชำระอากรขาเข้าในพิกัดประเภทที่ 84.06 อัตราอากรร้อยละ 10 อันเป็นอัตราลดตามประกาศกระทรวงการคลังที่ ศก.4/2517 ที่ถูกยกเลิกไปแล้วโดยจำเลยจะต้องเสียอากรตามราคาอัตราร้อยละ 15 ตามประกาศกระทรวงการคลัง ที่ ศก.6/2519 ทั้งนี้โดยจำเลยมีเจตนาจะหลีกเลี่ยงภาษีอากรและฉ้อโกงค่าภาษีอากรของรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเหตุให้อากรขาเข้าขาดไปเป็นเงิน60,297.51 บาท รวมราคาของและอากรเป็นเงิน 1,222,256.61 บาทขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร ฯลฯ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 99 ฯลฯ ลงโทษตามมาตรา 27 อันเป็นบทหนักปรับสี่เท่าราคาของรวมอากรเข้าด้วยแล้วเป็นเงิน 5,345,011.84 บาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘แม้พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16 บัญญัติให้ถือว่า การกระทำที่บัญญัติไว้ในมาตรา 27 และ 99 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 เป็นความผิดโดยมิพักต้องคำนึงว่าผู้กระทำมีเจตนาหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ก็ตาม แต่การที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 27 แห่งบทบัญญัติดังกล่าวต้องได้ความว่าจำเลยมีเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลอยู่ด้วยดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นแบบอย่างไว้แล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 612-613/2511 พนักงานอัยการ กรมอัยการโจทก์บริษัทเจริญวัฒนา จำกัด กับพวก จำเลย’

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่าตามพฤติการณ์เท่าที่กล่าวมานี้คดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล ส่วนการที่จำเลยขอชำระอากรขาเข้าสำหรับสินค้าหรือของรายพิพาทในพิกัดประเภทที่ 84.06โดยระบุว่าอากรปกติในพิกัดดังกล่าวจะต้องเสียตามราคาอัตราร้อยละ 15 แต่ได้รับลดหย่อนให้เสียในอัตราร้อยละ 10 ตามประกาศกระทรวงการคลัง ที่ ศก.4/2517 แม้ประกาศกระทรวงการคลังที่ว่านี้ได้ถูกยกเลิกโดยประกาศกระทรวงการคลัง ที่ ศก.6/2519 อันเป็นผลทำให้จำเลยจะต้องเสียอากรปกติตามราคาอัตราร้อยละ 15 ก็ตาม ข้อความที่ระบุถึงประกาศกระทรวงการคลังฉบับที่ถูกยกเลิกดังกล่าวเป็นเพียงข้อผิดพลาดหรือไม่ถูกต้อง มิใช่เป็นข้อความเท็จ แต่กรณีจะเป็นความไม่สมบูรณ์หรือชักพาให้หลงผิดหรือไม่ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะเป็นเรื่องนอกเหนือคำฟ้องของโจทก์ จำเลยจึงไม่มีความผิดดังที่โจทก์ฟ้อง

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share