คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2603/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แถลงการณ์กระทรวงการคลังระบุว่า “ฯลฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาศัยอำนาจตาม มาตรา 3 อัฏฐ แห่งประมวลรัษฎากรจึงขยายเวลาชำระและนำส่งภาษีอากร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้เสียภาษีอากร ฯลฯ ได้ ยื่นชำระภาษีอากร ฯลฯ ถูกต้อง ครบถ้วน โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มใด ๆ ฯลฯ ทั้งนี้ตาม เงื่อนไข ฯลฯข้อ 4 ในกรณีผู้มีหน้าที่เสีย ฯลฯ ภาษีอากร ฯลฯ รับแจ้งการประเมินฯลฯ ก่อนวันที่ที่ลงในแถลงการณ์นี้ แต่ ยังมิได้ชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนตาม กำหนดเวลา ฯลฯ ในแบบแจ้งการประเมิน ฯลฯ นั้นและพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว หากได้ นำภาษีอากรที่ค้างชำระอยู่นั้นไปชำระภายในระยะเวลาตาม ข้อ 7 แล้ว ผู้นั้นไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มใด ๆ สำหรับภาษีอากรส่วนที่ชำระนั้น ถ้า ภาษีอากรค้างนั้น ค้างอยู่ในชั้น อุทธรณ์ต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อ ศาลผู้เสียภาษีอากรต้อง ขอถอน อุทธรณ์หรือถอน ฟ้องนั้น และได้ รับอนุมัติเสียก่อน ฯลฯ” ดังนั้น กรณีผู้เสียภาษีอากรอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาลที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ด ขาดในคดีที่ผู้เสียภาษีอากรถูก ฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายก็ดี หรือกรณีลูกหนี้ถูก แจ้งการประเมินภาษีและมิได้อุทธรณ์การประเมินนั้นต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อ ศาลในเรื่องการประเมินก็ดี ทั้งสองกรณีไม่อยู่ในเงื่อนไขของแถลงการณ์กระทรวงการคลังดังกล่าว ดังนั้น เมื่อลูกหนี้ชำระค่าภาษีอากรค้างให้โจทก์ครบถ้วนและภายในเวลาที่กำหนด ลูกหนี้ย่อมได้ รับยกเว้นเงินเพิ่มและเบี้ยปรับตาม แถลงการณ์กระทรวงการคลังโดย ไม่ต้องขอถอน ฟ้องก่อน เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ต่อ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ ผู้เดียว ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายที่จะได้ รับชำระหนี้โดย เสมอภาค คดีที่ลูกหนี้ถูก ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด มีเจ้าหนี้เพียงรายเดียว คือโจทก์ ลูกหนี้ชำระหนี้แก่โจทก์โดยตรงได้ ไม่ก่อให้เกิดการได้ เปรียบเสียเปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น การชำระหนี้ของลูกหนี้จึงเท่ากับเป็นการชำระหนี้ต่อ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้เต็มจำนวน เหตุที่จะให้ลูกหนี้เป็นคนล้มละลายหมดไป จึงต้อง ยกเลิกการล้มละลาย.

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์แจ้งการประเมินให้จำเลยชำระค่าภาษี326,425.40 บาท ลูกหนี้ไม่อุทธรณ์การประเมินและไม่ชำระค่าภาษีโจทก์จึงฟ้องขอให้พิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย วันที่ 29สิงหาคม 2526 ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย วันที่18 กันยายน 2528 ลูกหนี้ยื่นคำร้องว่าขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาก่อนศาลนั้นพิพากษายืนตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดนั้น สรรพากรจังหวัดนนทบุรีจึงมีหนังสือลงวันที่ 22 มีนาคม 2525 แจ้งให้ลูกหนี้ทราบว่าตามที่ได้แจ้งประเมินไปยังลูกหนี้ว่าเป็นหนี้ภาษีอากร จำนวน296,800.98 บาทนั้น หากลูกหนี้จะชำระเงินภาษีอากรภายในระยะเวลาข้างต้น ลูกหนี้จะได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระเบี้ยปรับเงินเพิ่มตามแถลงการณ์กระทรวงการคลัง คงต้องชำระเฉพาะเงินภาษีอากรเพียง88,806.33 บาท เท่านั้น ลูกหนี้จึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระต่อสรรพากรอำเภอเมืองนนทบุรี โดยมีเงื่อนไขตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังข้อ 4 ที่ว่า “ถ้าภาษีอากรค้างนั้น ค้างอยู่ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาล ผู้เสียภาษีอากรต้องขอถอนอุทธรณ์หรือถอนฟ้องนั้น และได้รับอนุมัติเสียก่อน” ลูกหนี้จึงได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา แต่ศาลฎีกาไม่อนุญาต โจทก์จึงไม่รับเงินค่าภาษีอากรดังกล่าว และส่งเงินนั้นเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ลูกหนี้เห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481มาตรา 3 อัฏฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรได้ แต่หาได้มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขให้ลูกหนี้ขอถอนฎีกาและให้ศาลอนุญาตเสียก่อนไม่ดังนั้น ข้อตกลงที่ลูกหนี้ทำไว้กับสรรพากร อำเภอเมืองนนทบุรีเรื่องขอถอนฎีกา และศาลฎีกาต้องอนุญาตเสียก่อน จึงไม่มีผลแต่อย่างใด เมื่อลูกหนี้ชำระภาษีอากรตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังแล้ว จึงไม่มีภาษีอากรที่ลูกหนี้จะต้องชำระให้โจทก์อีก หนี้สินของลูกหนี้ในคดีนี้จึงเป็นอันได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135(2) และ (3)
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า สรรพากรอำเภอเมืองนนทบุรีรับเงินค่าภาษีของลูกหนี้ไว้โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าภาษีอากรที่ค้างนั้นศาลไม่อนุญาตให้ถอนฟ้อง ถือว่าการชำระภาษีของลูกหนี้ไม่เข้าเงื่อนไขตามแถลงการณ์กระทรวงการคลัง เมื่อศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ถอนฎีกา สรรพากรอำเภอเมือนนทบุรีจึงส่งเงินจำนวนนั้นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อรวบรวมไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้สำหรับแบ่งให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เพียงรายเดียว เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ดำเนินการแบ่งทรัพย์สินให้แก่โจทก์เป็นครั้งที่สุด (ครั้งเดียว) ตามพระราชบัญญัติล้มละลายโดยหักค่าธรรมเนียมไว้ร้อยละ 5 คงจ่ายส่วนแบ่งให้โจทก์เป็นเงิน79,134.26 บาท กรณียังถือไม่ได้ว่า ลูกหนี้ได้ชำระหนี้เต็มจำนองที่จะเป็นเหตุให้ยกเลิกการล้มละลาย ตามที่ขอได้ ขอให้ยกคำร้อง
ส่วนโจทก์คัดค้านว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนเงื่อนไขตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังที่กล่าวข้างตน โจทก์ได้รับเงินตามคำร้องของลูกหนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าศาลไม่อนุมัติให้ถอนฟ้องให้ถือว่าลูกหนี้ไม่มีสิทธิชำระภาษีตามแถลงการณ์ ดังนั้นเมื่อศาลฎีกาไม่อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จึงถือว่าลูกหนี้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้วไม่ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกเลิกการล้มละลายแก่จำเลย
โจทก์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ที่ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาด ลูกหนี้ฎีกาลูกหนี้จะต้องขอถอนฎีกาและศาลอนุญาตเสียก่อน จึงจะได้รับประโยชน์ตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังนั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า แถลงการณ์กระทรวงการคลังตามภาพถ่ายท้ายคำร้องของลูกหนี้ ระบุว่า”ฯลฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 อัฏฐแห่งประมวลรัษฎากร จึงขยายเวลาชำระและนำส่งภาษีอากร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้เสียภาษีอากร ฯลฯ ได้ยื่นชำระภาษีอากร ฯลฯให้ถูกต้องครบถ้วน โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มใด ๆ ฯลฯทั้งนี้ตามเงื่อนไข และเวลาดังต่อไปนี้
ฯลฯ
ข้อ 4 ในกรณีผู้มีหน้าที่เสีย ฯลฯ ภาษีอากร ฯลฯ รับแจ้งการประเมิน ฯลฯ ก่อนวันที่ที่ลงในแถลงการณ์นี้ แต่ยังมิได้ชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา ฯลฯ ในแบบแจ้งการประเมิน ฯลฯนั้น และพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว หากได้นำภาษีอากรที่ค้างชำระอยู่นั้นไปชำระภายในระยะเวลาตามข้อ 7 แล้ว ผู้นั้นไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มใด ๆ สำหรับภาษีอากรส่วนที่ชำระนั้น
ถ้าภาษีอากรค้างนั้น ค้างอยู่ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาล ผู้เสียภาษีอากรต้องขอถอนอุทธรณ์หรือถอนฟ้องนั้นและได้รับอนุมัติเสียก่อน
ฯลฯ
ตามนี้จะเห็นได้ว่าในกรณีที่ผู้เสียภาษีอากรอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาลที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ในคดีที่ผู้เสียภาษีอากรถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายนั้น หาอยู่ในเงื่อนไขตามแถลงการณ์ของกระทรวงการคลังที่ผู้เสียภาษีอากรจะต้องขอถอนอุทธรณ์ฎีกาและได้รับอนุมัติจากศาลเสียก่อนดังที่โจทก์ฎีกาไม่ กรณีของลูกหนี้ก็เช่นเดียวกัน ลูกหนี้มิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาลในเรื่องการประเมินแต่ประการใด ดังนั้นลูกหนี้จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขตามแถลงการณ์ของกระทรวงการคลังดังกล่าวฉะนั้น เมื่อลูกหนี้นำเงินเฉพาะภาษีอากร 88,806.33 บาท ไปชำระให้โจทก์ตามที่สรรพากรจังหวัดนนทบุรีแจ้งมา ลูกหนี้ก็ได้รับประโยชน์โดยได้รับยกเว้นเงินเพิ่มและเบี้ยปรับทั้งหมดตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังที่กล่าวข้างต้น ลูกหนี้จึงชำระหนี้ภาษีอากรค้างให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีในปัญหาข้อนี้มาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ข้อที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัยพ์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว หากลูกหนี้จะชำระหนี้ก็จะต้องชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 จะไปชำระต่อเจ้าหนี้ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้นก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งหลายที่จะได้รับชำระหนี้โดยเสมอภาคแต่คดีนี้ลูกหนี้มีเจ้าหนี้คือโจทก์เพียงรายเดียว การที่ลูกหนี้ชำระหนี้ให้โจทก์โดยตรง จึงไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นแต่ประการใด ทั้งมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการที่ลูกหนี้ชำระหนี้โดยผ่านเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพราะเมื่อรับชำระหนี้ไว้แล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ต้องชำระให้โจทก์ดังนั้น การที่ลูกหนี้ชำระหนี้ให้โจทก์ในกรณีเช่นนี้ จึงเท่ากับเป็นการชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 บัญญัติไว้เช่นกัน เมื่อหนี้สินของลูกหนี้เป็นอันได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกเลิกการล้มละลายชอบแล้ว ฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share