แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า คดีนี้ จำเลยได้ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยจึงได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของ ศาลที่ไม่รับฎีกาดังกล่าว บัดนี้โจทก์จำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ โดยจำเลยได้นำเงินมาชำระเป็นจำนวนเงิน70,000 บาท ให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป จึงขอถอนคำฟ้อง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงท้ายคำร้องว่า ได้รับสำเนาคำร้องขอถอนฟ้องแล้วไม่คัดค้าน (อันดับ 76)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทง ลงโทษ จำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน รวม 2 กระทงเป็นโทษ จำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1)(5) ให้จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 เดือน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลย จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลที่ไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 74 แผ่นที่ 2,75)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 76)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ย่อมถอนฟ้องได้ก่อนคดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 35 วรรคสอง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยไม่ค้าน อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) จึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ