คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. 2505ซึ่งโจทก์ก็รู้ดีแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะให้ผู้อื่นเช่าตึกพิพาทนี้ได้ดังนั้น การที่โจทก์กับจำเลยทำหนังสือสัญญาหมาย จ.2 เมื่อพ.ศ. 2513 ความว่า จำเลยยอมออกไปจากตึกพิพาททั้งที่โจทก์รู้ดีว่าตึกพิพาทไม่ใช่ของตนและปกปิดความจริงไว้ เช่นนี้เป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าการทำสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะจำเลยสำคัญผิดในสิ่งสารสำคัญว่าตึกพิพาทที่จำเลยเช่าอยู่นั้นยังเป็นของโจทก์อยู่หากจำเลยรู้ความจริงนี้แล้วจำเลยย่อมจะไม่ทำสัญญากับโจทก์สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวเลขที่ ๕๒๕ ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินราชพัสดุ กรมธนารักษ์ จำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถวชั้นล่างดังกล่าวจำนวน ๑ คูหา ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๑๓ จำเลยได้ตกลงทำหนังสือสัญญาไว้กับโจทก์ โดยจำเลยยินยอมขนย้ายสิ่งของพร้อมด้วยบริวารออกไปจากตึกแถวและส่งมอบตึกแถวดังกล่าวคืนแก่โจทก์ภายในกำหนด๖๐ วันนับแต่วันทำสัญญาจำเลยรับรองว่าจะไม่โต้แย้งคัดค้านสิทธิใด ๆของโจทก์อันเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวและสิทธิการเช่าที่ดินราชพัสดุต่อกรมธนารักษ์เพื่อเป็นการตอบแทน โจทก์ยินยอมให้ค่าขนย้ายแก่จำเลย๓๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ได้ชำระเงินค่าขนย้ายดังกล่าวให้จำเลยรับไปในวันทำสัญญาเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทแล้ว ส่วนเงินอีก ๑๕,๐๐๐ บาทโจทก์จะชำระให้จำเลยเมื่อจำเลยพร้อมด้วยบริวารได้ขนย้ายส่งมอบตึกแถวดังกล่าวให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว ครั้นครบกำหนด ๖๐ วัน ตามสัญญาจำเลยและบริวารหาได้ปฏิบัติตามสัญญาไม่ ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยได้ยื่นขอสิทธิการเช่าตึกแถวและที่ดินราชพัสดุอันปลูกตึกแถวดังกล่าวของโจทก์ต่อกรมธนารักษ์ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์อันมีต่อกรมธนารักษ์โดยจำเลยไม่มีสิทธิที่จะยื่นเรื่องราวขอสิทธิเช่าตึกแถวและที่ดินราชพัสดุจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากตึกแถวชั้นล่างเลขที่ ๕๒๕ โดยจำเลยไม่มีสิทธิได้รับค่าขนย้ายส่วนที่ยังเหลืออยู่อีกเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท จากโจทก์ให้จำเลยสละสิทธิการเช่าตึกและที่ดินพิพาทให้กับโจทก์ ให้จำเลยถอนเรื่องราวขอเช่าตึกและที่ดินพิพาทต่อกรมธนารักษ์ และห้ามไม่ให้จำเลยโต้แย้งคัดค้านสิทธิใด ๆ ของโจทก์อันเป็นเจ้าของตึกแถวและสิทธิการเช่าที่ดินราชพัสดุต่อกรมธนารักษ์และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่าที่จำเลยทำสัญญาดังกล่าวเพราะเข้าใจว่าตึกแถวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่ต่อมาจำเลยทราบความจริงว่าตึกแถวเป็นของกรมธนารักษ์ กรมธนารักษ์ได้บอกเลิกการเช่าตึกแถวและที่ดินที่ปลูกตึกแถวกับโจทก์แล้ว ที่จำเลยทำสัญญายอมออกจากตึกแถวจึงเป็นการเข้าใจผิดในข้อสารสำคัญ ตกเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทชั้นล่าง ให้จำเลยส่งมอบตึกแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย เมื่อส่งมอบแล้วให้โจทก์จ่ายเงินที่ยังค้างอยู่ตามสัญญาจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาทแก่จำเลยห้ามจำเลยมิให้โต้แย้งคัดค้านสิทธิของโจทก์เกี่ยวกับการเช่าที่ดินต่อกรมธนารักษ์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินที่ปลูกตึกพิพาทเป็นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พลโทหลวงกาจสงครามได้เช่าที่ดินดังกล่าวแล้ว พลโทหลวงกาจสงครามกับโจทก์ซึ่งเป็นภริยาคนที่สามได้ร่วมทุนกันสร้างตึกพิพาทในที่ดินดังกล่าวเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๙๐โดยกองรักษาที่หลวงกระทรวงการคลังยอมให้พลโทหลวงกาจสงครามเก็บค่าเช่าในการก่อสร้างจากผู้เช่าอยู่ได้มีกำหนด ๑๕ ปีนับแต่สร้างเสร็จเมื่อพ้นกำหนดแล้วพลโทหลวงกาจสงครามยอมยกตึกพิพาทให้แก่กองรักษาที่หลวงเป็นกรรมสิทธิ์เมื่อนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ มา ๑๕ ปีตึกพิพาทจึงตึกเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลังประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๕คดีฟังได้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ แล้วซึ่งโจทก์ก็รู้ดีโจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะให้ผู้อื่นเช่าตึกพิพาทนี้ได้ ดังนั้น การที่โจทก์กับจำเลยทำหนังสือสัญญาหมาย จ.๒ ท้ายฟ้องความว่าจำเลยยอมออกไปจากตึกพิพาททั้งที่โจทก์รู้ดีว่าตึกพิพาทมิใช่ของตน และปกปิดความจริงไว้เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าการทำสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะจำเลยสำคัญผิดในสิ่งสารสำคัญว่าตึกพิพาทที่จำเลยเช่าอยู่นั้นยังเป็นของโจทก์อยู่ หากจำเลยรู้ความจริงนี้แล้วจำเลยย่อมจะไม่ทำสัญญากับโจทก์อย่างแน่นอน สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๙ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท
พิพากษายืน

Share