แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คืนเกิดเหตุต้นไทรริมทางหลวงล้มขวางทาง ได้มีผู้ตัดกิ่งตอนปลายออกเป็นทางเดินรถเหลือทางเดียว โดยกรมทางหลวงจำเลยที่ 1ไม่ทราบเหตุดังกล่าว อีกประมาณ 1 ชั่วโมงรถยนต์โดยสารปรับอากาศซึ่งโจทก์เป็นผู้เช่าซื้อแล่นมาโดยคนขับทราบก่อนแล้วว่ามีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ในทางหลวงข้างหน้าห่างประมาณ 10 กิโลเมตร ขณะรถของโจทก์แล่นมาห่างต้นไม้ 5 เมตร คนขับรถของโจทก์หักเลี้ยวรถไปทางขวาเข้าไปในทางเดินรถแลนด์โรเวอร์วิ่งแล่นสวนทางมาเพื่อหลบหลีกต้นไม้ จึงชนกันขึ้น เหตุดังกล่าวหาใช่เป็นผลโดยตรงหรือเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ไม่ทำเครื่องหมายให้ทราบว่ามีต้นไม้ล้มอยู่ข้างหน้าหรือไม่ติดโคมไฟฟ้าหรือแขวนตะเกียงไว้ที่ต้นไม้ให้เห็นชัดเจนไม่ ทั้งต้นไม้ล้มลงก่อนเกิดเหตุรถยนต์ชนกันเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่มีผู้ใดแจ้งเรื่องให้จำเลยทั้งสองหรือเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองทราบทันที ย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยทั้งสองจะดำเนินการดังกล่าวได้ทัน ถือไม่ได้ว่าเหตุที่รถชนกันเป็นผลเนื่องมาจากความประมาทของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ผู้แทนของจำเลยที่ 1 บกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และกรมในรัฐบาล ตามลำดับ โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันหมายเลขทะเบียน 10-8600 กรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่นำต้นไม้ซึ่งล้มขวางถนนออกไปหรือไม่ได้ปิดกั้นถนนบริเวณต้นไม้ล้ม หรือทำเครื่องหมายให้ทราบว่ามีต้นไม้ล้มอยู่ข้างหน้า หรือติดโคมไฟฟ้าหรือแขวนตะเกียงไว้ที่ต้นไม้ให้เห็นชัดเจน ซึ่งเป็นการละเว้นการกระทำโดยประมาท ทำให้รถของโจทก์คันดังกล่าวชนกับรถยนต์แลนด์โรเวอร์คันหมายเลขทะเบียน6บ-8816 กรุงเทพมหานคร ที่บริเวณต้นไม้ล้มขวางถนน รถของโจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์330,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า การที่ต้นไม้ล้มขวางทางหลวงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติก่อนเกิดเหตุเล็กน้อย เป็นเวลากระชั้นชิด นอกวันเวลาราชการในเวลากลางคืนไม่มีราษฎรรายงานให้เจ้าหน้าที่ทราบหรือเจ้าหน้าที่ได้พบเห็นมีราษฎรตัดกิ่งไม้เป็นช่องทางให้รถแล่นผ่านไปได้ ที่เกิดเหตุเป็นทางตรง รถของโจทก์เป็นรถขนาดใหญ่มีไฟสูงส่องสว่างไปไกลไม่น้อยกว่า100 เมตร หากลูกจ้างโจทก์ขับรถด้วยความระมัดระวังไม่ขับเร็วและควรหยุดเมื่อเห็นต้นไม้ล้มขวางอยู่ และยอมให้รถยนต์แลนด์โรเวอร์แล่นผ่านไปก่อน ความเสียหายจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในภาวะที่ลูกจ้างโจทก์จะกระทำได้ จำเลยที่ 2 ปฏิบัติราชการโดยรอบคอบครบถ้วน ไม่บกพร่องในหน้าที่ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2526 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ต้นไทรริมทางหลวงสายสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ทางขวามือเมื่อมุ่งหน้าไปจังหวัดนครศรีธรรมราชบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 49 ล้มขวางทางหลวงดังกล่าว ได้มีการตัดกิ่งตอนปลายออกเป็นทางเดินรถเหลือทางเดียวคือช่องทางซ้ายมือและในคืนนั้นรถยนต์โดยสารปรับอากาศหมายเลขทะเบียน10-8600 กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์เป็นผู้เช่าซื้อได้แล่นจากจังหวัดนครศรีธรรมราชมายังจังหวัดสุราษฎร์ธานีและชนกับรถยนต์แลนด์โรเวอร์หมายเลขทะเบียน 6บ-8816 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1ซึ่งแล่นจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีมุ่งหน้าไปทางจังหวัดนครศรีธรรมราชในทางเดินรถของจำเลยที่ 1 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดในความเสียหายที่โจทก์ได้รับเนื่องจากต้นไม้ล้มขวางทางหลวงตามฟ้องโจทก์หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า การที่ต้นไม้ล้มขวางทางจนเป็นเหตุให้รถของโจทก์และจำเลยที่ 1 ชนกันนั้นเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 บกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ คือละเว้นไม่ตรวจตราควบคุมทางหลวงและงานทางไม่ให้ต้นไม้ขวางทางหลวง ก่อให้เกิดอันตรายแก่การจราจร เห็นว่า คดีได้ความจากพลตำรวจสมคิด หนูแทนพลตำรวจสำราญ สุขสม ซึ่งทำหน้าที่ปฏิบัติการสายตรวจทางหลวงพยานโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุได้ขึ้นรถของโจทก์และได้แจ้งคนขับรถของโจทก์ว่ามีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ห่างประมาณ 10 กิโลเมตรนายสนอง กลิ่นผล ซึ่งเป็นผู้โดยสารรถของโจทก์และนายเจียรยิ่งคำนุ่น พยานโจทก์ซึ่งทำหน้าที่นายตรวจพิเศษและเป็นผู้โดยสารบนรถของโจทก์ก็เบิกความรับรองว่าได้มีการแจ้งเรื่องดังกล่าวกันจริงจึงฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุ คนขับรถของโจทก์ได้ทราบแล้วว่ามีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ในทางหลวงข้างหน้า ห่างประมาณ 10 กิโลเมตรพลตำรวจสำราญ เบิกความด้วยว่า ขณะรถของโจทก์ห่างต้นไม้5 เมตร ก็ยังแล่นตรงอยู่แล้วคนขับรถของโจทก์หักเลี้ยวรถไปทางขวาเข้าไปในทางเดินรถของรถยนต์แลนด์โรเวอร์เพื่อหลบหลีกต้นไม้รถยนต์แลนด์โรเวอร์มาถึงต้นไม้ก่อนที่รถของโจทก์จะถึงต้นไม้พลตำรวจสมคิดเบิกความว่า ได้นั่งบนฝาครอบรถของโจทก์ ก่อนที่รถยนต์ทั้งสองคันชนกันเห็นรถยนต์แลนด์โรเวอร์แล่นสวนมา เปิดไฟด้วยคนขับรถของโจทก์มิได้บีบแตร แต่เปิดใช้ไฟต่ำวิ่งมาและไม่มีการส่งสัญญาณขอทาง เมื่อชนแล้วรถของโจทก์แล่นตกไปทางไหล่ทางข้างซ้ายห่างต้นไม้ประมาณ 100 เมตร เห็นว่า การที่รถของโจทก์ชนรถยนต์แลนด์โรเวอร์นั้นหาใช่เป็นผลโดยตรงหรือเนื่องมาจากจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ไม่ทำเครื่องหมายให้ทราบว่ามีต้นไม้ล้มอยู่ข้างหน้าหรือไม่ติดโคมไฟฟ้าหรือแขวนตะเกียงไว้ที่ต้นไม้ให้เห็นชัดเจนไม่ทั้งนี้เพราะคนขับรถของโจทก์ได้ทราบมาก่อนเกิดเหตุแล้วว่ามีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ข้างหน้า การที่คนขับรถของโจทก์หักเลี้ยวรถไปทางขวาเข้าไปชนรถยนต์แลนด์โรเวอร์ในทางเดินรถทางขวามือของรถของโจทก์ เป็นผลจากการกระทำของคนขับรถของโจทก์เอง ความเสียหายที่โจทก์ได้รับมิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยทั้งสอง ทั้งการที่จำเลยทั้งสองไม่ได้ดำเนินการนำต้นไทรที่ล้มลงขวางทางออกไปหรือไม่ได้ปิดกั้นบริเวณดังกล่าว หรือทำเครื่องหมายให้ทราบว่ามีต้นไม้ล้มขวางอยู่ข้างหน้า หรือติดโคมไฟฟ้า หรือแขวนตะเกียงไว้ที่ต้นไทรที่ล้มนั้น ก็ได้ความว่าต้นไทรดังกล่าวได้ล้มลงก่อนเกิดเหตุรถยนต์ชนกันเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดแจ้งเรื่องให้จำเลยทั้งสองหรือเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองทราบทันที จึงย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยทั้งสองจะดำเนินการดังกล่าวได้ทัน กรณีถือไม่ได้ว่าเหตุที่รถของโจทก์ชนกับรถยนต์แลนด์โรเวอร์เป็นผลเนื่องมาจากความประมาทของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 บกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ดังโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง”
พิพากษายืน