คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2597/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ถนนจะอยู่ในที่ดินตามโฉนดของโจทก์ แต่การที่โจทก์ยอมให้ทางอำเภอนำดินลูกรังมาถมขยายจากสภาพคันกั้นน้ำให้เป็นถนนกว้างถึง 6 เมตร กับยอมให้ราษฎรและยานพาหนะใช้เป็นทางสัญจรไปมาเป็นเวลากว่าสิบปี ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้อุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว โดยไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือบอกกล่าวอุทิศ หรือมีการจดทะเบียนแสดงว่าเป็นทางหลวงแต่ประการใด
ที่ดินโจทก์มีเขตจดถนนสาธารณะ ถัดจากถนนจึงเป็นลำคลองสาธารณะ การที่จำเลยคนหนึ่งจอดแพในลำคลอง และจำเลยอีกคนหนึ่งปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองหน้าที่ดินของโจทก์ จะถือว่าแพและบ้านของจำเลยบังหน้าที่ดินของโจทก์ไม่ได้ ทั้งเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยคนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยย้ายแพและรื้อเรือนออกไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนมีใจความทำนองเดียวกันว่าจำเลยจอดแพและปลูกบ้านขวางหน้าที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ติดกับคลอง ทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจใช้ประโยชน์ในที่ดินได้เต็มที่ ขอให้ขับไล่จำเลยและให้ขนย้ายออกไปให้พ้นหน้าที่ดินของโจทก์

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า ที่ดินของโจทก์ไม่ได้ติดคลอง แต่ติดทางสาธารณะซึ่งประชาชนและยวดยานใช้สัญจร เลยทางสาธารณะไปจึงเป็นคลองแพและบ้านจำเลยอยู่ในคลอง ไม่กีดขวางการใช้หน้าที่ดินของโจทก์

ศาลชั้นต้นฟังว่าเขตที่ดินของโจทก์ไม่ติดคลอง แต่ติดทางหรือถนนสาธารณะแพกับบ้านของจำเลยอยู่ในคลองสาธารณะ ไม่กีดขวางหน้าที่ดินโจทก์อันทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าถนนซึ่งอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์ไม่ใช่ถนนสาธารณะ เพราะโจทก์ไม่เคยทำหนังสือบอกกล่าวอุทิศให้ทางราชการไม่มีการจดทะเบียนเป็นหลักฐานนั้น เห็นว่า แม้ถนนนี้จะอยู่ในที่ดินตามโฉนดของโจทก์ แต่จากการที่โจทก์ยอมให้ทางอำเภอนำดินลูกรังมาถมขยายจากสภาพคันกั้นน้ำให้เป็นถนนกว้างถึง 6 เมตร และยอมให้ราษฎรและยานพาหนะใช้เป็นทางสัญจรไปมาบนถนนสายนี้เพื่อไปยังอำเภอต่าง ๆ เป็นเวลากว่าสิบปีมาแล้ว ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้อุทิศที่ดินโดยปริยายให้เป็นทางสาธารณะแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือหรือบอกกล่าวอุทิศ หรือมีการจดทะเบียนแสดงว่าเป็นทางหลวงแต่ประการใด

ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยสำนวนแรกจอดแพในคลองหน้าที่ดินของโจทก์ ทอดสะพานจากแพไปขึ้นในที่ดินของโจทก์ และจำเลยสำนวนหลังปลูกบ้านในคลองหน้าที่ดินของโจทก์กับถมดินบริเวณนั้น เป็นการกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายหรือเดือดร้อนอันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 ได้หรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยสำนวนแรกมีแพอยู่ในคลองสาธารณะ จำเลยสำนวนหลังปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองสาธารณะ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) มิได้เกี่ยวข้องกับโจทก์ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินของโจทก์กับที่ซึ่งจำเลยสำนวนหลังปลูกบ้านมีถนนสาธารณะคั่น แพของจำเลยสำนวนแรกอยู่ในระยะห่างกับที่ดินของโจทก์มากกว่าบ้านของจำเลยสำนวนหลัง จะเรียกว่าแพและบ้านของจำเลยแต่ละคนบังหน้าที่ดินโจทก์ไม่ได้ เมื่อตามพยานโจทก์ก็ฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยสำนวนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษเกี่ยวกับการที่จำเลยทั้งสองใช้ประโยชน์ในสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share