คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2595/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย เป็นค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคแรก บัญญัติว่าความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี และวรรคสองบัญญัติว่าค่าฤชาธรรมเนียมให้รวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วย คดีนี้แม้โจทก์เป็นฝ่ายร้องขอยึดทรัพย์ของจำเลยชั่วคราวก่อนพิพากษาซึ่งเป็นการยึดทรัพย์สินที่ไม่ใช่ตัวเงินแล้ว.ไม่มีการขายหรือจำหน่าย โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมการบังคับคดีในเบื้องแรกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 และเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้ว โจทก์ละเลยมิได้ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนดที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 (2) ทำให้ผลของคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นอันยกเลิก ไม่มีผลใช้บังคับต่อไปก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ชนะคดีและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีจึงต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีต่อศาล

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าที่ดินตามสัญญาซื้อขายและยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาในกรณีมีเหตุฉุกเฉิน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาต เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงทำการยึดที่ดินของจำเลยโดยตีราคาเป็นเงิน ๔๒๔,๐๐๐ บาท ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๘๐,๐๐๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์จำเลยร่วมกันยื่นคำแถลงว่าได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนอกศาลแล้ว โดยโจทก์ไม่ติดใจบังคับคดีตามคำพิพากษา และต่อมาจำเลยยื่นคำแถลงต่อศาลขอให้ศาลชั้นต้นสั่งถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีจากโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงคำสั่งใหม่ โดยสั่งให้จำเลยเสียแต่ฝ่ายเดียว ศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในตาราง ๕(๓) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ วรรคแรก บัญญัติว่าความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี และวรรคสองบัญญัติว่าค่าฤชาธรรมเนียมให้รวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วย คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน๒๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับจากวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๒๑ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๕,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีต่อศาลตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ ที่บัญญัติให้ผู้แพ้คดีในที่สุดเป็นฝ่ายรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมรวมทั้งค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี หมายถึงกรณีที่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้น เห็นว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตั้งแต่มาตรา ๑๖๑ ถึง ๑๖๙ มิได้บัญญัติไว้เช่นนั้น และมีศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายร้องขอยึดทรัพย์ของจำเลยชั่วคราวก่อนพิพากษา แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้วโจทก์ละเลยมิได้ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนดที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๐(๒) ทำให้ผลของคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นอันยกเลิกไม่มีผลใช้บังคับต่อไป โจทก์ซึ่งเป็นผู้นำยึดจำต้องรับผิดค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจะยกเลิกหรือไม่ก็ตามก็ย่อมต้องถือว่าการยึดทรัพย์รายนี้เป็นการยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ตามตาราง ๕(๓) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมการบังคับคดีในเบื้องแรกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๙ ต่อมาเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ชนะคดี จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีก็ต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
พิพากษากลับ เป็นว่าให้เรียกค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตามตาราง ๕(๓) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจากจำเลย

Share