แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นวันชี้สองสถานไว้ 2 ข้อคือ จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงิน 12,800 บาท ตามที่ตกลงกันต่อหน้าศาลหรือไม่และโจทก์เสียหายเพียงใด เมื่อสืบพยานเสร็จ ศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็นขึ้น 4 ข้อ แล้วพิพากษาไปในวันนั้นคือ 1. จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงิน 12,800 บาท ตามที่ตกลงกับโจทก์ในวันที่ 1 กันยายนหรือไม่ 2. โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนหรือไม่ 3. โจทก์ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงโอนที่ดินให้จำเลยตามฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่ 4. โจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด ดังนี้ประเด็นข้อ 1 เป็นการเน้นให้ชัดลงไปว่าจำเลยผิดสัญญาในวันที่ 1 กันยายน 2524 หรือไม่ เพราะประเด็นเดิมกล่าวไว้กว้าง ๆ ว่าผิดสัญญาตามที่ตกลงกันต่อหน้าศาลหรือไม่ ซึ่งการนัดชำระราคาหลังจากตกลงกันที่ศาลแล้วมีครั้งเดียวคือวันที่ 1 กันยายน 2524 เท่านั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการกำหนดขึ้นใหม่
โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินนัดจำเลยไปรับโอนที่ดินที่ซื้อในวันที่1 กันยายน 2524 โดยเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2524 เจ้าหน้าที่ส่งหนังสือนั้นแก่จำเลยวันถัดมา โจทก์จึงมิได้เป็นผู้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้เอง จะถือว่าเจ้าพนักงานที่ดินเป็นตัวแทนหาได้ไม่กำหนดเวลาที่ให้จำเลยชำระหนี้เพียง 4 วัน นับว่ากระชั้นชิดเกินไปไม่ใช่ระยะเวลาพอสมควรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 387 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การบอกกล่าวแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายกับจำเลยและยังไม่มีอำนาจฟ้อง
ประเด็นข้อ 3 ที่ศาลชั้นต้นกำหนดเพิ่มเติม ไม่ขัดต่อวิธีพิจารณาเพราะรวมอยู่ในประเด็นแรกที่กำหนดไว้แต่เดิมแล้ว คือหากจำเลยไม่ผิดสัญญาย่อมมีประเด็นตามมาว่าโจทก์ต้องโอนที่ดินให้จำเลยตามฟ้องแย้งหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2523 จำเลยตกลงซื้อที่ดินของโจทก์เฉพาะส่วนทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของที่ดินในราคา 80,000 บาท จะโอนสิทธิกันเมื่อเจ้าพนักงานได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แบ่งแยกเป็นสัดส่วนแล้วจำเลยชำระเงินให้โจทก์ในวันทำสัญญา 50,000 บาท ที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนโอนสิทธิ โจทก์มอบที่ดินให้จำเลยใช้ประโยชน์ก่อนโอน ระหว่างขอแบ่งแยก ผู้ใหญ่บ้านคัดค้านว่าที่ดินที่ซื้อขายกันบางส่วนเป็นที่สาธารณะโจทก์จำเลยตกลงกันให้ซื้อขายที่ดินส่วนที่เหลือในราคาเดิม ในวันที่โจทก์จำเลยไปโอนสิทธิกัน จำเลยไม่ยอมชำระราคาที่เหลือ ที่สุดตกลงลดราคาเหลือ18,000 บาท เมื่อหักหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้จำเลยอยู่แล้วคงเหลือเงินที่จำเลยต้องชำระในวันโอนสิทธิ 12,800 บาท ต่อมาวันที่ 1 กันยายน 2524 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์จำเลยไปโอนสิทธิกันตามที่เจ้าพนักงานกำหนด จำเลยไม่ยอมชำระราคาที่ดินเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินอีก จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวยังเพิกเฉย หากโจทก์จะนำที่ดินที่ขายให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 6,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินที่ซื้อและส่งมอบที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยภายใน 7 วันนับแต่ศาลพิพากษา ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยตกลงซื้อที่ดินจากโจทก์และค้างชำระราคาเมื่อหักที่สาธารณะและหนี้สินกันแล้วเหลือ 12,800 บาท จริง จำเลยเคยแจ้งให้โจทก์โอนสิทธิให้เสร็จ โจทก์ขอผัดผ่อน จนเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2524โจทก์บอกกล่าวโดยกระทันหันให้จำเลยไปรับโอนที่ดิน จำเลยเตรียมตัวไม่ทันขอชำระราคาด้วยเช็ค โจทก์ไม่ยอมเลยเลื่อนโอนวันอื่น โจทก์ผัดผ่อนเรื่อยมาและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตฟ้องจำเลย ที่พิพาทใช้ทำนาไม่ได้หากไม่เช่าจะได้ค่าเช่าอย่างสูงไม่เกินเดือนละ 200 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ขอฟ้องแย้งให้โจทก์โอนสิทธิที่ดินที่ตกลงซื้อขายกันแก่จำเลยและรับเงิน 12,800 บาท จากจำเลย หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์แจ้งนัดโอนแก่จำเลยก่อนวันที่ 1 กันยายน 2524 เป็นเวลา 1 อาทิตย์ วันนัดจำเลยมิได้ขอชำระหรือผัดชำระราคาที่ดิน แต่อย่างใด แล้วไม่เคยติดต่อกันโจทก์อีก ที่ดินพิพาทอยู่ในทำเลเหมาะกับการดูดทรายขาย จึงมีค่าเสียหายดังฟ้อง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่โจทก์ไม่ได้กำหนดระยะเวลาอันสมควรให้จำเลยชำระหนี้ ยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาโจทก์ต้องโอนสิทธิที่พิพาทให้จำเลยตามฟ้องแย้ง ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายพิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลย และรับเงิน 12,800 บาทจากจำเลย หากโจทก์ไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับทั้งสองฝ่าย
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับทั้งสองฝ่าย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นวันชี้สองสถานไว้ 2 ข้อ คือ
1. จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงิน 12,800 บาท ที่ตกลงกันต่อหน้าศาลหรือไม่
2. โจทก์เสียหายเพียงใด
เมื่อสืบพยานเสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นขึ้น 4 ข้อ แล้วพิพากษาไปในวันนั้น คือ
1. จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงิน 12,800 บาท ตามที่ตกลงกับโจทก์ในวันที่1 กันยายน 2524 หรือไม่
2. โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนหรือไม่
3. โจทก์ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงโอนที่ดินให้จำเลยตามฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่
4. โจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด
ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นข้อ 1 เป็นการเน้นให้ชัดลงไปว่าจำเลยผิดสัญญาในวันที่ 1 กันยายน 2524 หรือไม่ เพราะประเด็นเดิมกล่าวกว้าง ๆ ว่าผิดสัญญาตามที่ตกลงกันต่อหน้าศาลหรือไม่ ซึ่งการนัดชำระราคาหลังจากตกลงกันที่ศาลแล้วมีอยู่ครั้งเดียวคือวันที่ 1 กันยายน 2524 เท่านั้น จึงไม่ถือว่าเป็นการกำหนดขึ้นใหม่
ประเด็นที่ว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่นั้น โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินนัดจำเลยไปรับโอนที่ดินที่ซื้อในวันที่ 1 กันยายน 2524 โดยเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2524 เจ้าหน้าที่ส่งหนังสือนั้นแก่จำเลยวันถัดมาแสดงว่าโจทก์มิได้เป็นผู้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้เอง จะถือว่าเจ้าพนักงานที่ดินเป็นตัวแทนหาได้ไม่ กำหนดเวลาที่ให้จำเลยชำระหนี้เพียง 4 วัน นับว่ากระชั้นชิดเกินไปไม่ใช่ระยะเวลาพอสมควรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 387 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การบอกกล่าวแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายกับจำเลยและยังไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อ 4 และ ข้อ 2 และไม่ว่าประเด็นข้อ 2 ที่ศาลชั้นต้นกำหนดเพิ่มเติมจะชอบหรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
ประเด็นข้อ 3 ที่ศาลชั้นต้นกำหนดเพิ่มเติมไม่ขัดต่อวิธีพิจารณา เพราะรวมอยู่ในประเด็นข้อแรกที่กำหนดไว้แต่เดิมแล้ว คือ หากจำเลยไม่ผิดสัญญาย่อมมีประเด็นตามมาว่าโจทก์ต้องโอนที่ดินให้จำเลยตามฟ้องแย้งหรือไม่ เมื่อจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ก็ย่อมมีหน้าที่โอนที่ดินที่ขายให้จำเลยตามฟ้องแย้ง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ