แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นข้าราชการสังกัดกรมโจทก์ ตำแหน่งเกษตรอำเภอจำเลยนำปุ๋ยเคมี เครื่องสูบน้ำ และเงินหมุนเวียนของโจทก์ไปให้เกษตรกรเช่าซื้อ ยืม โดยจำเลยลงชื่อแทนเกษตรกร หรือไม่ได้ให้เกษตรกรลงชื่อในสัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าซื้อและสัญญายืมเงิน เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถบังคับตามสัญญาเหล่านั้นได้ โจทก์จึงเสียหายนับแต่วันที่จำเลยมอบสิ่งของหรือเงินให้แก่เกษตรกรไปตั้งแต่วันทำสัญญาจำเลยจึงทำละเมิดต่อโจทก์นับตั้งแต่วันทำสัญญาดังกล่าวแล้วเมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ส่วนสัญญาที่กำหนดให้ผู้ยืมชำระเงินคืนตามกำหนด จำเลยมีหน้าทีต้องติดตามทวงถามนับแต่วันที่ผู้ยืมผิดสัญญาไม่ชำระเงินคืน เมื่อจำเลยไม่ติดตามทวงถามเงินคืนทำให้โจทก์เสียหาย ถือว่าจำเลยกระทำละเมิดนับแต่วันที่จำเลยไม่ติดตามทวงถามเงินคืนเมื่อถึงกำหนดชำระ แต่เมื่อนับแต่วันถึงกำหนดชำระเงินคืนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 เช่นกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้เงิน 370,493.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ประมาทเลินเล่อเอง ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถาน จำเลยขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งโจทก์ฎีกาว่า อายุความตามฟ้องจะต้องนับตั้งแต่วันที่จำเลยปล่อยให้สัญญาที่จำเลยทำกับเกษตรกรขาดอายุความ คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายโดยนำปุ๋ยเคมี เครื่องสูบน้ำ เครื่องมือปราบศัตรูข้าว เครื่องทุ่นแรง และเงินหมุนเวียนของโจทก์ไปให้เกษตรกร ซื้อ เช่าซื้อ หรือยืม โดยจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อ สัญญาซื้อขายและสัญญายืมเงิน แล้วจำเลยลงชื่อในสัญญาในฐานะผู้เช่าซื้อ ผู้ซื้อหรือผู้ยืมแทนบ้าง และไม่ได้ให้ผู้เช่าซื้อผู้ซื้อหรือผู้ยืมลงลายมือชื่อในสัญญาบ้างตามฟ้องข้อ 2.1 ถึงข้อ2.18 เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ไม่สามารถบังคับตามสัญญาได้นั้นเห็นได้ว่า การที่จำเลยลงชื่อแทนเกษตรกรก็ดี หรือไม่ได้ให้เกษตรกรลงชื่อก็ดี เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียหายนับแต่วันที่จำเลยมอบสิ่งขอหรือเงินให้แก่เกษตรกรไปตั้งแต่วันทำสัญญา จึงต้องถือว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์นับตั้งแต่วันทำสัญญาดังกล่าวแล้ว เมื่อปี พ.ศ.2510 ถึงปี พ.ศ. 2515 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วส่วนฟ้องข้อ 2.19 และข้อ 2.20 ที่กล่าวว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ติดตามเรียกเงินคืนจากผู้ยืมเงินจนหนี้ขาดอายุความ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 19 และ 20 ก็ปรากฏว่าในสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวกำหนดให้ผู้ยืมชำระเงินคืนงวดสุดท้ายในวันที่ 30 เมษายน 2518 จำเลยมีหน้าที่ต้องติดตามทวงถาม ตั้งแต่วันที่ผู้ยืมผิดสัญญาไม่ชำระเงินคืน เมื่อจำเลยไม่ติดตามทวงถามเงินคืน ทำให้โจทก์เสียหายก็ถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์แล้วอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยไม่ติดตามทวงถามเงินคืนจากผู้ยืมตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2518 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วเช่นกัน คดีของโจทก์ทุกข้อจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.