แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ผู้รับประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอ้างว่า รถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนได้รับความเสียหาย จำเลยก็ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเนื่องมาจากการที่รถเกิดชนกันในเหตุครั้งเดียวกันนี้ด้วย ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีรวมกันแล้วฟังว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้แต่ฝ่ายเดียว พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และยกฟ้องคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ แม้คดีหลังนี้จะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้ถือว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหลังดังกล่าวนี้มีผลผูกพันคู่ความในคดีแรกที่คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีบทมาตราใดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องถือข้อเท็จจริงในคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ก็มีส่วนประมาทด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุ จำเลยรับประกันภัยรถยนต์คันที่ชนรถโจทก์ไว้ในลักษณะประกันภัยค้ำจุน ผู้ขับรฝ่ายจำเลยขับรถโดยประมาทชนรถฝ่ายโจทก์เสียหาย โจทก์จัดการซ่อมแซมรถคันที่รับประกันภัยไว้แล้ว จึงรับช่วงสิทธิขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า เหตุมิได้เกิดจากความประมาทของผู้ขับรถฝ่ายจำเลย แต่เป็นเพราะความประมาทของผู้ขับรถฝ่ายโจทก์
ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาคดีนี้กับคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์เรียกค่าเสียหายอันเกิดจากเหตุรถชนครั้งเดียวกันนี้ ระหว่างพิจารณาศาลอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองคดีถอนฟ้องจำเลยอื่น คงพิพาทเฉพาะระหว่างโจทก์ในแต่ละคดี โดยเรียกโจทก์คดีแรกเป็นโจทก์ และเรียกโจทก์คดีหลังเป็นจำเลย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฝ่ายจำเลยเป็นฝ่ายประมาทเพียงฝ่ายเดียว พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และยกฟ้องคดีหลัง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีหลังศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า ผู้ขับรถฝ่ายจำเลยประมาทฝ่ายเดียว และคดีต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง จึงฟังว่าคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถฝ่ายจำเลย ผู้ขับรถฝ่ายโจทก์มิได้ประมาทด้วย การที่จำเลยอุทธรณ์ว่ารถฝ่ายจำเลยมิได้ประมาท แต่เป็นเพราะรถฝ่ายโจทก์ประมาท จึงรับฟังไม่ได้ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหลังที่ฟังว่า ช.เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียวมีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ หรือไม่ เห็นว่า ถึงแม้คดีสองสำนวนนี้จะรวมพิจารณาพิพากษา และศาลชั้นต้นฟังว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของ ช.ผู้ขับรถฝ่ายจำเลยฝ่ายเดียว พิพากษาในคดีหลังให้ยกฟ้องโจทก์ (คือจำเลยในชั้นรวมคดี) และคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่ก็มิได้มีบทมาตราใดบัญญัติให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์มีผลผูกพันคู่ความในคดีที่คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีบทมาตราใดให้ศาลอุทธรณ์ต้องถือข้อเท็จจริงในคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ว่า ป.ผู้ขับรถฝ่ายโจทก์มีส่วนประมาทด้วย ซึ่งศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานไปตามสำนวน การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้เกิดเพราะความประมาทของ ช.ผู้ขับรถฝ่ายจำเลยเพียงฝ่ายเดียว ป.ผู้ขับรถฝ่ายโจทก์มิได้มีส่วนประมาทด้วยโดยถือตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีหลังนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เหตุละเมิดเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถจำเลยฝ่ายเดียว
พิพากษาแก้เรื่องค่าเสียหาย