แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมลงทุนกับ ว. ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาลโดยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดแต่เพียงผู้เดียวแม้ว่าต่อมาจะได้ขายที่ดังกล่าวไปและแบ่งปันเงินที่ได้จากการขายที่ดินกันตามอัตราส่วนที่ลงหุ้นแล้วก็ตาม เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจที่จะประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าจากเงินได้ที่ได้จากการขายที่ดินทั้งหมดได้ เพราะโจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินอันก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินแต่เพียงผู้เดียวและโจทก์เป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมินนั้นไว้ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 61 ดังนั้น แม้ศาลภาษีอากรกลางจะยอมให้โจทก์นำสมุห์บัญชีธนาคาร และ ว.มาสืบยืนยันข้อเท็จจริงว่าว. ร่วมลงทุนและได้รับทุนและส่วนแบ่งกำไรคืนไปแล้ว ก็ไม่ทำให้โจทก์หลุดพ้นหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีการค้าจากการขายที่ดินทั้งหมดได้ การสืบพยานทั้งสองปากดังกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ จึงชอบที่ศาลภาษีอากรกลางจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้หมายเรียกสมุห์บัญชีธนาคาร และตัดพยานปากนาย ว. เสียได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายวิลาศ ชลวร ได้ร่วมทุนกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 4524 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานครจากการขายทอดตลาดของศาล ในราคา 2,360,000 บาท แต่ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ต่อมาได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายชวลิต ทั่งสัมพันธ์ ในราคา 4,044,900 บาท และแบ่งปันเงินได้ดังกล่าวตามอัตราส่วนการลงทุนโดยโจทก์ได้รับเงินรวมทั้งทุนเป็นเงิน 1,678,592 บาท และนายวิลาศได้รับ 2,366,308 บาทต่อมาจำเลยได้ออกหมายเรียกโจทก์ไปสอบถามเกี่ยวกับการชำระภาษีจากการขายที่ดินดังกล่าว โจทก์ทำหนังสือแจ้งรายละเอียดให้จำเลยทราบ และขอให้จำเลยประเมินภาษีโจทก์จากเงินได้ที่โจทก์ได้รับส่วนแบ่งจำนวน 1,678,592 บาท โดยแยกการประเมินระหว่างโจทก์กับนายวิลาศออกจากกัน แต่จำเลยกลับประเมินภาษีโจทก์จากเงินได้ที่ขายที่ดินได้ทั้งหมด ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า รวมทั้งเงินเพิ่มและเบี้ยปรับเป็นเงิน 1,621,797.63 บาทโจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินแล้ว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินภาษีชอบแล้ว แต่มีเหตุอันควรผ่อนผันจึงพิจารณาลดเงินเพิ่มและเบี้ยปรับโดยให้โจทก์ชำระค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้ารวมทั้งเงินเพิ่มและเบี้ยปรับรวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,317,292.92 บาท ขอให้พิพากษายกเลิกการประเมินภาษีของจำเลยและขอให้ประเมินภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่โจทก์ได้รับมาจริงจำนวน 1,678,592 บาท กับขอให้งดหรือลดเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะเจ้าพนักงานประเมินต้องประเมินเรียกเก็บภาษีโจทก์จากเงินได้พึงประเมินที่ได้จากการขายที่ดินทั้งหมด เนื่องจากโจทก์มีชื่อในหนังสือสำคัญตามประมวลรัษฎากร มาตรา 61(2) ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาสืบพยานโจทก์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้หมายเรียกสมุห์บัญชีธนาคารสหธนาคาร จำกัด สาขาบางโพมาเบิกความเป็นพยานโจทก์เพราะโจทก์เคยแถลงว่าไม่ติดใจสืบพยานปากนี้แล้ว และมีคำสั่งตัดพยานโจทก์ปากนายวิลาศ ชลวร เพราะพยานไม่มาศาลหลายครั้ง แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้หมายเรียกสมุห์บัญชีธนาคารสหธนาคาร จำกัด สาขาบางโพ มาเบิกความเป็นพยานและมีคำสั่งตัดพยานโจทก์ปากนายวิลาศ ชลวร ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยก่อนว่า หากให้นำพยานบุคคลที่ศาลไม่อนุญาตให้หมายเรียกมาและที่ศาลมีคำสั่งตัดพยานไปนั้นมาสืบจะทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 4524 แขวงปทุมวันเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ได้จากการขายทอดตลาดเมื่อวันที่9 พฤษภาคม 2522 ในราคา 2,360,000 บาท ต่อมาวันที่ 25ธันวาคม 2522 โจทก์ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายชวลิต ทั่งสัมพันธ์ในราคา 4,044,900 บาท เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยตรวจพบว่าภ.ง.ด.90 ของโจทก์ ไม่ได้นำรายได้จากการขายที่ดินมากรอกลงในแบบเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งไม่ได้ยื่นแบบเสียภาษีการค้าด้วยซึ่งจำเลยเห็นว่าโจทก์ประกอบการค้าที่ดินและต้องเสียภาษีทั้งสองประเภทจำเลยจึงหมายเรียกโจทก์มาเพื่อไต่สวนโจทก์ได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ รวมทั้งในการต่อสู้คดีชั้นศาลรับว่าร่วมลงทุนกับนายวิลาศซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี และต่อมาได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายชวลิตทั่งสัมพันธ์ ไป ได้มีการคืนทุนและแบ่งกำไรให้ผู้เป็นหุ้นส่วนไปแล้วในการซื้อที่ดินนั้นได้ลงชื่อโจทก์คนเดียวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และในการขายก็ขายไปในนามโจทก์แต่ผู้เดียว โจทก์จึงขอให้จำเลยคิดภาษีเฉพาะส่วนที่โจทก์ลงทุนและได้ผลกำไรส่วนของโจทก์เท่านั้น โดยไม่รวมทุนและส่วนแบ่งกำไรของนายวิลาศด้วย แต่จำเลยคิดภาษีเอาจากโจทก์แต่ผู้เดียว ปัญหาจะต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นนี้คือจำเลยคิดภาษีจากโจทก์ผู้เดียวได้หรือไม่ เห็นว่าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 61 บัญญัติว่า บุคคลใดมีชื่อในหนังสือสำคัญใด ๆ แสดงว่า (1) เป็นเจ้าของทรัพย์สินอันระบุไว้ในหนังสือสำคัญและทรัพย์สินนั้น ก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน หรือ(2) เป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมินโดยหนังสือสำคัญเช่นว่านั้นเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีทั้งหมดจากผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญนั้นก็ได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นต้องโอนเงินได้พึงประเมินให้บุคคลอื่น บุคคลนั้นมีสิทธิหักเงินภาษีจากจำนวนเงินซึ่งโอนให้แก่บุคคลอื่นตามส่วน จากบทบัญญัติดังกล่าวเจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมทั้งภาษีการค้าตามมาตรา 87(1) เอากับโจทก์ได้ เพราะโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดเลขที่ 4524 อันก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินแต่ผู้เดียวและโจทก์เป็นผู้รับเงินได้พึงประเมินนั้นไว้โดยการขายที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่นายชวลิต ทั่งสัมพันธ์ ส่วนการที่โจทก์จะหักภาษีจากเงินได้ส่วนของนายวิลาศไว้ตามมาตรา 61 วรรคสองแห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่ เป็นเรื่องที่โจทก์จะไปว่ากล่าวเอากับนายวิลาศต่างหาก โจทก์จึงต้องเสียภาษีให้แก่จำเลยโดยคิดจากจำนวนเงินที่ขายที่ดินได้ทั้งหมด ฉะนั้น แม้ว่าศาลภาษีอากรกลางจะยอมให้โจทก์นำสมุห์บัญชีธนาคารสหธนาคาร จำกัด สาขาบางโพและนายวิลาศมาสืบ ในข้อที่นายวิลาศร่วมลงทุนและได้รับทุนและส่วนแบ่งกำไรคืนไปแล้วก็ไม่ทำให้โจทก์พ้นจากหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าจากการขายที่ดินทั้งหมดการสืบพยานทั้งสองปากดังกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์แก่โจทก์แต่อย่างใดการที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้หมายเรียกสมุห์บัญชีธนาคารสหธนาคาร จำกัด สาขาบางโพ และตัดพยานปากนายวิลาศออกเสีย แม้จะอ้างเหตุผลของการไม่อนุญาตและการตัดพยานโดยเหตุอื่นก็เป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน