คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2580/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยผู้รับประกันวินาศภัยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ก่อวินาศภัยอันจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุการณ์นั้นแต่เมื่อคำฟ้องบรรยายเพียงว่าจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถบรรทุกทั้งสองคันที่ไปก่อนเหตุวินาศภัยขึ้นโดยมิได้บรรยายถึงบุคคลผู้เอาประกันที่ต้องผูกพันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเบื้องต้นอันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จะเป็นเหตุให้จำเลยต้องร่วมรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายเช่นนี้เป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นจึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม โจทก์เพียงแต่ขอให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่มิได้ขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีจึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาเพียงศาลละ200บาทตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตาราง1ข้อ2(ข)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 265,446.87 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 245,500บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นแล้วว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จึงงดสืบพยานโจทก์จำเลย และวินิจฉัยชี้ขาดว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายมีใจความว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 81-0245 ระยอง จากนางหัน ผ่องแผ้ว จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-5244 ฉะเชิงเทราและรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 84-6831 กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่20 สิงหาคม 2536 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา รถบรรทุกที่จำเลยรับประกันภัยทั้งสองคันขับตามกันมาด้วยความประมาทและความเร็วสูงเมื่อไปถึงหลักกิโลเมตรที่ 21-22 ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอพนัสนิคมจังหวัดชลบุรี รถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-5224 ฉะเชิงเทราขับแซงรถยนต์คันหน้าล้ำเข้าไปในช่องทางเดินรถที่สวนทางมาไปชนกับรถบรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้ แล้วรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน84-6831 กรุงเทพมหานคร ที่ขับตามมา เข้าไปชนซ้ำอีก เป็นเหตุให้รถบรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยได้รับความเสียหายขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เห็นว่า จำเลยผู้รับประกันวินาศภัยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ก่อวินาศภัยอันจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุการณ์นั้นแต่เมื่อคำฟ้องเพียงบรรยายว่าจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถบรรทุกทั้งสองคันที่ไปก่อเหตุวินาศภัยขึ้น โดยมิได้บรรยายถึงบุคคลผู้เอาประกันที่ต้องผูกพันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเบื้องต้นอันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จะเป็นเหตุให้จำเลยต้องร่วมรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายเช่นนี้เป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น จึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง โจทก์เพียงแต่ขอให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ มิได้ขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ และฎีกาเพียงศาลละ 200 บาท รวมสองศาลเป็นเงิน400 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ข) แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ศาลละ 6,635 บาท รวมสองศาลเป็นเงิน 13,270 บาทโจทก์เสียเกินมา 12,870 บาท จึงคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้โจทก์”
พิพากษายืน

Share