แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทโจทก์และบริษัทจำเลยที่ 1 ต่างรู้เห็นร่วมกันให้บริษัทจำเลยที่ 1ซึ่งประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทโจทก์เป็นจำนวนเกินกว่าที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์บัญญัติไว้ อันเป็นความผิดทางอาญา ย่อมได้ชื่อว่าต่างไม่สุจริตด้วยกัน เพราะร่วมกันก่อให้เกิดความผิดทางอาญาขึ้น บริษัทโจทก์จะยกสิทธิอันไม่สุจริต ซึ่งเกิดขึ้นจากการกระทำความผิดทางอาญาด้วยกันมาเรียกร้องเงินค่าหุ้นของบริษัทโจทก์ซึ่งยังไม่ได้รับชำระจากบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ไม่สุจริตด้วยกันหาได้ไม่เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมซึ่งกระทำการแทนบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดด้วย กรณีดังกล่าวแล้วเป็นเรื่องเรียกเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระอันเกิดจากการร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการผู้ทำแทนบริษัทจำเลยที่ 1 จึงมิได้ทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัทโจทก์ จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 76 มาใช้หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทโจทก์๕,๕๐๐ หุ้น และขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าหุ้นที่ค้างกับดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่านายสัญญา ยมะสมิต กรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ได้ทำนิติกรรมรับโอนหุ้นบริษัทโจทก์ไว้โดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย เป็นการสมยอมระหว่างโจทก์กับนายสัญญา ยมะสมิตการกระทำของนายสัญญา ยมะสมิต ไม่มีผลตามกฎหมายที่จะให้จำเลยที่ ๑ต้องมีนิติสัมพันธ์ในฐานะผู้ถือหุ้นของโจทก์และตัดฟ้องว่า นิติกรรมซื้อและรับโอนหุ้นเป็นโมฆะเพราะเป็นการฝ่าฝืนและต้องห้ามโดยชัดแจ้งต่อกฎหมาย
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธความรับผิดและตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
เมื่อศาลได้กำหนดหน้าที่นำสืบแล้ว โจทก์ถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเข้าดำเนินคดีแทนโจทก์และได้เรียกนายสัญญา เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพิ่มเติมฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๖ หากการโอนหุ้นไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ ก็ให้นายสัญญาจำเลยร่วมรับผิดใช้แทน
นายสัญญาจำเลยร่วมและจำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธความรับผิดและต่อสู้ว่าฟ้องเพิ่มเติมขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยร่วมนำสืบว่า การที่ได้รับโอนหุ้นพิพาทมานั้น ก็เพราะที่ประชุมกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๑ เห็นสมควรและมอบให้จำเลยร่วมเป็นผู้จัดการรับโอนให้แก่บริษัทจำเลยที่ ๑
ปัญหาที่ว่า บริษัทจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่จะต้องชำระเงินค่าหุ้นอีก ๗๕%ของจำนวน ๕,๕๐๐ หุ้น เป็นจำนวนเงิน ๔,๑๒๕,๐๐๐ บาท แก่บริษัทโจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุที่บริษัทจำเลยที่ ๑ รับโอนหุ้นจากบริษัทมหาคุณจำกัด ๒,๙๐๐ หุ้น และจากนายจิ้นฮั้ว แซ่ก๊วย ๒,๖๐๐ หุ้นรวมมูลค่าหุ้น ๕,๕๐๐,๐๐๐ บาทนั้น เพราะฐานะการเงินของบริษัทจำเลยที่ ๑ไม่ค่อยดีและเงินหมุนเวียนของบริษัทจำเลยที่ ๑ ไม่พอประกอบกับพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ บอกให้จอมพลสฤษดิ์ในฐานะประธานกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๑ รับโอนหุ้นดังกล่าวไว้เป็นหุ้นให้เปล่าไม่ต้องออกเงินซื้อและบอกว่าผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทโจทก์มีคดีถ้าคงให้ถือหุ้นต่อไปบริษัทโจทก์จะล้ม เมื่อบริษัทจำเลยที่ ๑ รับโอนหุ้นและบริษัทโจทก์ยินยอมจดแจ้งการโอนหุ้นไว้ในทะเบียนผู้ถือหุ้นแล้ว การบริหารงานของบริษัทโจทก์ก็ตกอยู่กับจอมพลสฤษดิ์และบริษัทจำเลยที่ ๑ โดยให้บริษัทโจทก์นำเงินสดมาฝากกับบริษัทจำเลยที่ ๑ ประมาณ ๒๐ ล้านบาทโดยไม่ให้ดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องของบริษัทจำเลยที่ ๑ มีเงินทุนหมุนเวียนพอเพียง ทั้งยังได้มีการแต่งตั้งนายจรูญ วิมลศิริ สมุหบัญชีใหญ่ของบริษัทจำเลยที่ ๑ เข้าไปเป็นสมุหบัญชีใหญ่บริษัทโจทก์ ต่อมาบริษัทจำเลยที่ ๑ ส่งจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกอยู่ในบริษัทจำเลยที่ ๑ ไปเป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการบริษัทโจทก์อีกตำแหน่งหนึ่ง เหตุที่บริษัทโจทก์ล้มละลายเพราะการบริหารของบริษัทจำเลยที่ ๑ ผู้ถือหุ้นใหญ่บกพร่อง ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ที่เป็นมาเห็นได้ชัดแจ้งว่า การที่บริษัทจำเลยที่ ๑ รับโอนหุ้นของบริษัทโจทก์มาจำนวน ๕,๕๐๐ หุ้น เป็นหุ้นได้มาเปล่า ๆ และเป็นหุ้นที่ทำให้มีเสียงส่วนใหญ่ในบริษัทโจทก์ก็โดยมีแผนการเข้ามาบริหารบริษัทโจทก์เพื่อถ่ายเทเงินจากบริษัทโจทก์เข้าช่วยประคับประคองบริษัทจำเลยที่ ๑ ให้มีฐานะการเงินดีขึ้นและให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอแสดงให้เห็นว่า บริษัทจำเลยที่ ๑มีเจตนาไม่สุจริตในการรับโอนมีหุ้นของบริษัทโจทก์ ทั้งการที่บริษัทจำเลยที่ ๑รับโอนมีหุ้นของบริษัทโจทก์จำนวน ๕,๕๐๐ หุ้น ๆ ละ ๑,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๕๕ ของทุนบริษัทโจทก์ และเกินร้อยละสิบของเงินทุนจดทะเบียนและเงินทุนสำรอง ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาทของบริษัทจำเลยที่ ๑ เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายและเป็นความผิดทางอาญาดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๔๘๘ มาตรา ๑๑ ว่า ห้ามมิให้ธนาคารกระทำการต่อไปนี้”…(ฉ) ซื้อหรือมีไว้ซึ่งหุ้นหรือหุ้นกู้เป็นจำนวนเกินกว่าร้อยละยี่สิบของเงินทุนในบริษัทนั้น หรือเกินกว่าร้อยละสิบของเงินซึ่งชำระแล้วและเงินทุนสำรองตามมาตรา ๙…” และมาตรา ๓๑ บัญญัติว่า “ธนาคารใดฝ่าฝืนหรือละเลยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา…มาตรา ๑๑ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และในกรณีที่เป็นความผิดต่อเนื่องกันให้ปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งพันบาท ตลอดเวลาที่ยังทำการฝ่าฝืนอยู่” ดังนั้นที่บริษัทจำเลยที่ ๑ รับโอนมีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทโจทก์ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญา
ศาลฎีกาเห็นต่อไปว่า ขณะที่บริษัทโจทก์ยินยอมให้บริษัทจำเลยที่ ๑รับโอนมีหุ้นของบริษัทโจทก์และจดแจ้งการโอนนั้น บริษัทโจทก์รู้ดีว่าตนเองมีทุนจดทะเบียนอยู่เพียง ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และรู้ดีว่าการที่บริษัทจำเลยที่ ๑มีหุ้นของบริษัทโจทก์ไว้ในขณะนั้นถึง ๕๕% ของทุนบริษัทโจทก์ เป็นความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๔๘๘ มาตรา ๑๑ (ฉ)และมาตรา ๓๑ และบริษัทโจทก์ย่อมจะคาดคิดได้ว่าการยินยอมจดทะเบียนให้บริษัทจำเลยที่ ๑ มีหุ้นของบริษัทโจทก์ไว้โดยเป็นความผิดทางอาญาเพื่อให้ผูกพันกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒๙ นั้นจะต้องเป็นเหตุให้บริษัทจำเลยที่ ๑ เข้ามาบริหารในบริษัทโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ตามความพอใจ ซึ่งก็เป็นความจริง แสดงให้เห็นได้ว่าบริษัทโจทก์รู้เห็นสมยอมให้บริษัทจำเลยที่ ๑ เข้ามาใช้สิทธิโดยไม่สุจริตด้วยวิธียินยอมให้บริษัทจำเลยที่ ๑ เข้ามามีหุ้นของโจทก์ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นความผิดทางอาญา
ข้อที่บริษัทโจทก์รู้หรือไม่ว่าทุนของบริษัทจำเลยที่ ๑ มีอยู่เพียง๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่า บริษัทจำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนไว้ ณ หอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กรมทะเบียนการค้ากระทรวงเศรษฐการ ทุนที่จดทะเบียนของบริษัทจำเลยที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในหนังสือบริคณห์สนธิที่ได้นำไปจดทะเบียนไว้ เป็นเอกสารมหาชนที่เปิดเผยรู้ทั่วไป และทุนที่จดทะเบียนและทุนสำรองตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๔๘๘ มาตรา ๙ ของบริษัทจำเลยที่ ๑ มีอยู่ในงบดุลประจำปีของบริษัทจำเลยที่ ๑ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๑๙๗ บังคับให้มีเปิดเผยไว้ที่บริษัทจำเลยที่ ๑ และให้ส่งสำเนาไปยังนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๑๙๙ทั้งบริษัทจำเลยที่ ๑ ประกอบธุรกิจอันมีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกับวัตถุประสงค์ของบริษัทโจทก์ส่วนหนึ่ง ฉะนั้น ขณะบริษัทโจทก์ยินยอมและจดแจ้งการโอนหุ้นรายพิพาทเพื่อให้มีผลผูกพันกันนั้น บริษัทโจทก์มีเหตุที่ควรรู้ได้ว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ มีทุนจดทะเบียนและทุนสำรองเพียง๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทโจทก์และบริษัทจำเลยที่ ๑ ต่างรู้เห็นร่วมกันให้บริษัทจำเลยที่ ๑ มีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทโจทก์อันเป็นความผิดทางอาญา จึงได้ชื่อว่าต่างฝ่ายต่างไม่สุจริตด้วยกัน เพราะร่วมกันก่อให้เกิดความผิดทางอาญาขึ้น บริษัทโจทก์จะยกสิทธิอันไม่สุจริตซึ่งเกิดขึ้นจากการกระทำทางอาญาด้วยกันมาเรียกร้องเงินค่าหุ้นของบริษัทโจทก์ที่ยังไม่ได้รับชำระจากบริษัทจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ไม่สุจริตด้วยกันหาได้ไม่ ส่วนจำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมกระทำการแทนบริษัทจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดเช่นกัน เมื่อบริษัทโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นดังกล่าวแล้ว ปัญหาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๕ ย่อมไม่มี
ปัญหาที่ว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้บริษัทโจทก์ตามมาตรา ๗๖ หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีเรื่องนี้เป็นเรื่องเรียกเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระอันเกิดจากการร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริตด้วยกันดังนั้น จำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการผู้ทำแทนบริษัทจำเลยที่ ๑ จึงมิได้ทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัทโจทก์ จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๖ มาใช้ไม่ได้
พิพากษายืน