คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทซึ่งมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ4,000บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงดังนั้นการที่จำเลยอุทธรณ์ว่าอ. มิได้เป็นผู้จัดการและช.มิได้เป็นเหรัญญิกของโจทก์โดยบุคคลทั้งสองไม่มีอำนาจทำการแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคสองที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยในปัญหานี้จึงเป็นการไม่ชอบถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์นั้นถือว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิโจทก์และตามฎีกาของจำเลยก็ไม่ปรากฎว่าการให้เช่าตึกพิพาทเป็นการกระทำเพื่อหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือเพื่อหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกันจึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา110ที่ชำระใหม่แต่เป็นกรณีที่โจทก์ชอบที่จะกระทำได้เพื่อหาผลประโยชน์เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของโจทก์และการที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาเท่านั้นถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใดโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จดทะเบียนเป็นมูลนิธิ มีพระอุดรคณาภิรักษ์ (กิตติวุฑโฒ ภิกขุ) หรือสมณศักดิ์ปัจจุบันคือ พระเทพกิตติปัญญาคุณ เป็นผู้จัดการ และท่านผู้หญิงเชิญพิศลยบุตร เป็นเหรัญญิก ตามตราสารจัดตั้งมูลนิธิโจทก์ ผู้จัดการหรือผู้ทำการแทนและเหรัญญิกลงลายมือชื่อร่วมกันมีอำนาจทำการแทนโจทก์ได้ โจทก์มอบอำนาจให้นายสาธิต รอดช้างหรือนายวรวุฒิ จักรแก้วฟ้องและดำเนินคดีแทน จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวเลขที่ 626/53 หรือเลขที่ 7 ของโจทก์ มีกำหนดระยะเวลาเช่า 1 ปี 3 เดือน อัตราค่าเช่าเดือนละ 300 บาท นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2534 จนถึงวันที่28 กุมภาพันธ์ 2536 เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วโจทก์แจ้งให้จำเลยออกจากตึกแถวดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 626/53 หรือเลขที่ 7 และส่งมอบตึกแถวแก่โจทก์โดยเรียบร้อยและห้ามเข้ามาเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า พระอุดรคณาภิรักษ์ (กิตติวุฑโฒ ภิกขุ)ไม่ได้เป็นกรรมการหรือผู้จัดการของโจทก์และท่านผู้หญิงเชิญพิศลยบุตร ไม่ได้เป็นเหรัญญิกของโจทก์และเนื่องจากได้พ้นตำแหน่งเนื่องจากได้พ้นตำแหน่งกรรมการมูลนิธิโจทก์ตั้งแต่ปี 2519บุคคลทั้งสองจึงไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้นายสาธิต รอดช้าง หรือนายวรวุฒิ จักรแก้ว ฟ้องคดีนี้ การฟ้องขับไล่จำเลยและผู้เช่าออกจากที่ดินมิได้ทำเพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้จดทะเบียนไว้ โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ และการที่โจทก์ต้องการที่ดินดังกล่าวเพื่อดำเนินการทางการค้าเป็นการกระทำที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 626/53 หรือเลขที่ 7 แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสานกรุงเทพมหานคร พร้อมส่งมอบตึกแถวดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทซึ่งค่าเช่าตามสัญญาในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ4,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าพระอุดรคณาภิรักษ์ มิได้เป็นผู้จัดการและท่านผู้หญิงเชิญ พิศยบุตร มิได้เป็นเหรัญญิกของโจทก์ บุคคลทั้งสองไม่มีอำนาจทำการแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยในปัญหานี้ จึงเป็นการไม่ชอบ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทมูลนิธิซึ่งกฎหมายกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ ฯลฯ มูลนิธิโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมทั้งการฟ้องขับไล่ผู้เช่า การฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นเรื่องนอกเหนือวัตถุประสงค์และมีลักษณะเป็นกิจการค้าแสวงหาประโยชน์ ขัดต่อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 110 ที่ชำระใหม่บัญญัติว่า”มูลนิธิได้แก่ทรัพย์สินที่จัดสรรไว้โดยเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ กรมศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษาหรือเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน และได้จดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ ต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง” เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์นั้นถือว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิโจทก์ และตามฎีกาของจำเลยก็ไม่ปรากฎว่าการให้เช่าตึกพิพาทเป็นการกระทำเพื่อหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือเพื่อหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน จึงไม่ขัดต่อกฎหมายดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่โจทก์ชอบที่จะกระทำได้เพื่อหาผลประโยชน์เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ และการที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาเช่าแล้วนั้น ก็ถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share