แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่า “จำเลยรับมอบหมายสร้อยของ ส.ไปในวันที่ 3 ต.ค.86 เวลากลางแล้วบังอาจมีเจตนาทุจริตเบียดบังเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย” ดังเป็นฟ้องสมบูรณ์ตามกฎหมายในความผิดฐานยักยอกแล้ว.
ความผิดฐานยักยอกนั้นเกิดขึ้นแต่วันที่รับมอบหมายจนถึงวันที่ไม่ยอมส่งคืน ดังนี้เมื่อฟ้องว่าจำเลยยักยอกแต่วันที่ 3 ต.ค.86 ซึ่งเป็นวันได้รับมอบหมาย แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยไม่ยอมคืนทรัพย์ให้ในเดือน พ.ย. 2486 จึงไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง.
ย่อยาว
ฟ้องโจทก์ว่า จำเลยได้รับมอบสร้อยทองคำ ๑ สายจากนางสมสวัสดิ์เพื่อประกันเงินกู้ แล้วจำเลยบังอาจมีเจตนาทุจริตเอาสร้อยเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นไม่เชื่อพะยานโจทก์ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลย
จำเลยฎีกา ฟ้องมิได้ระบุเหตุการณ์แสดงความทุจริตของจำเลย จึงไม่ชอบตาม ป.ม.วิธีพิจารณาความอาญา ม.๑๕๘ (๕) ศาลฎีกาเห็นว่าความแสดงว่า จำเลยรับมอบหมายสร้อยของนางสมสวัสด์ไปในวันที่ ๓ ต.ค.๘๖ เวลากลางวันแล้วยังอาจมีเจตนาทุจริตเบียดบังเป็นประโยชน์ส่วนตัว ดังนี้เป็นฟ้องตามกฎหมายแล้ว
จำเลยฎีกาอีกว่า เมื่อทางพิจารณาพะยานโจทก์ว่าจำเลยไม่ยอมคืนสร้อยในเดือน พ.ย. ๒๔๘๖ จะฟังว่าจำเลยยักยอกไปวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๔๘๖ ไม่ได้ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ต่างกันเพราะไม่ใช่ว่าจำเลยเพิ่งกระทำผิดในวันที่จำเลยแสดงว่าไม่ยอมคืนสร้อยให้โจทก์ไม่ จึงฅพิพากษายืนศาลอุทธรณ์