คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2569/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่พนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งที่บ้านอันเคยเป็นภูมิลำเนาเดิมของจำเลย โดยที่บ้านนั้นปิดใส่กุญแจไม่มีคนอยู่ มา 2-3 ปีแล้ว เพราะถูกเทศบาลขับไล่ กำลังจะรื้อและในที่สุดก็ได้รื้อไป บ้านดังกล่าวจึงมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย การปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่บ้านหลังนั้นจึงเป็นการมิชอบ และมีเหตุให้น่าเชื่อว่าจำเลยไม่ทราบว่า จำเลยถูกฟ้อง กรณีเช่นนี้เป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ การ ปิดประกาศหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายนัดพิจารณาก็ดี การปิดประกาศที่ศาลแทนการส่งคำบังคับก็ดี ไม่มีผลใช้ได้ จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องคดี เรื่องนี้เมื่อถูกยึดทรัพย์ ซึ่งเป็นวันที่ถือว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ได้สิ้นสุดลง แล้วมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด15 วัน ตามที่ บังคับไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 จึงมีเหตุสมควร อนุญาตให้ดำเนินการพิจารณาใหม่ได้ตามที่จำเลยร้องขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จ้างโจทก์สร้างอาคารเจ็ดชั้นที่ถนนจารุเมืองกรุงเทพมหานคร แล้วค้างชำระค่าจ้างโจทก์อยู่ 76,000 บาท ขอให้จำเลยชำระค่าจ้างจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดสัญญาจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน76,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

วันที่ 3 มกราคม 2518 ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยทราบโดยปิดประกาศที่ศาลต่อมาโจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2518 วันที่ 8 พฤษภาคม 2518จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยมิได้อยู่บ้านเลขที่ 57 ถนนศรีเวียง เขตบางรักกรุงเทพมหานครแล้ว โจทก์นำพนักงานศาลไปปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่บ้านหลังนี้ จำเลยจึงไม่ทราบว่าถูกฟ้องคดีจำเลยเพิ่งทราบเรื่องเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของบริษัทวิชิตชัยวัตถุโบราณจำกัด ที่เวิ้งนครเขษม โจทก์ก่อสร้างอาคารไม่เสร็จก็ทิ้งงานไปโจทก์จะต้องคืนเงินให้จำเลย 50,000 บาท จึงขอให้ศาลพิจารณาใหม่

โจทก์คัดค้าน

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ได้ให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน 8 วัน

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องที่ขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเสีย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีน่าเชื่อว่าบ้านเลขที่ 57 ถนนศรีเวียงเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เดิมเป็นภูมิลำเนาของจำเลยจริง เพราะจำเลยเองก็ยอมรับว่าในขณะจำเลยจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างอาคารเมื่อปี พ.ศ. 2513จำเลยมีภูมิลำเนาที่บ้านนี้ หากจำเลยคงอยู่อาศัยที่บ้านนี้ตลอดมาแล้วการที่พนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปปิดไว้ก็เป็นการชอบ แต่จำเลยได้นำสืบต่อสู้ไว้ว่าบ้านเลขที่ 57 นี้ปิดใส่กุญแจไม่มีคนอยู่มา 2 – 3 ปีแล้ว เพราะถูกเทศบาลขับไล่ กำลังจะรื้อ และในที่สุดก็ได้รื้อไปในเดือนกรกฎาคม 2517 เดือนเดียวกันกับที่พนักงานเดินหมายได้ไปปิดหมายเรียกบ้านเลขที่ 57 จึงมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยแล้ว การปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ที่บ้านหลังนี้เป็นการมิชอบและมีเหตุน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องมิฉะนั้นแล้วจำเลยก็น่าจะต่อสู้คดีแน่ เพราะจำเลยเองก็มีข้อกล่าวหาว่าโจทก์ผิดสัญญา กรณีเช่นนี้เป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ การประกาศหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายนัดพิจารณาก็ดี การปิดประกาศที่ศาลแทนการที่ส่งคำบังคับก็ดี ไม่มีผลใช้ได้ จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องคดีเรื่องนี้เมื่อถูกยึดทรัพย์ในวันที่ 23 เมษายน 2518 ซึ่งเป็นวันที่ถือว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง แล้วมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 8 พฤษภาคม 2518 ภายในกำหนด 15 วัน ตามที่บังคับไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 จึงมีเหตุสมควรอนุญาตให้ดำเนินการพิจารณาใหม่ตามที่จำเลยร้องขอ

พิพากษากลับให้ดำเนินการพิจารณาใหม่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share