แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ไม่มีกฎหมายบังคับว่าการอ้างเอกสารเป็นพยานจะต้องมีผู้ทำเอกสารมาเบิกความรับรองจึงจะรับฟังได้ การที่เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจเอกสารมาเบิกความประกอบเอกสารดังกล่าวเกี่ยวกับรายการและข้อผิดพลาดในเอกสาร ก็มิใช่พยานบอกเล่าเพราะเจ้าหน้าที่เบิกความไปตามที่ตรวจพบเห็นถือเป็นพยานโดยตรง แม้เอกสารมีรอยขูดลบแก้ไขโดยไม่มีผู้ใดรับรอง ก็ไม่ถึงกับรับฟังไม่ได้ สาระสำคัญอยู่ที่ว่าการแก้ไขนั้นถูกต้องหรือไม่ เอกสารที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมได้จากเอกสารของลูกหนี้ รวมเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้ ถือเป็นเอกสารในสำนวนคดีเรื่องอื่นอันเป็นเอกสารเป็นชุด คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งทราบดีอยู่แล้วหรือสามารถตรวจสอบให้ทราบได้โดยง่ายถึงความมีอยู่และความแท้จริงแห่งเอกสารนั้น จึงไม่ต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(1) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้องมีจำนวนเงินเกินกว่าที่มีหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ อ้างว่าเจ้าหนี้ที่ของลูกหนี้คิดยอดเงินดอกเบี้ยผิดไปเมื่อคิดใหม่แล้วคงมีดอกเบี้ยค้างอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏว่าคิดผิดอย่างไร และที่คิดใหม่ถูกต้องอย่างไร การเอาตัวเลขที่อ้างว่าคิดถูกบวกเข้าไปในจำนวนหนี้ที่เรียกให้ผู้ร้องชำระและยืนยันหนี้เพิ่มขึ้นโดยไม่มีเหตุผล จึงเป็นการยืนยันหนี้เกินกว่าที่ทวงไปเป็นการไม่ชอบต้องถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้อยู่ตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งไปครั้งแรก.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นหนี้ลูกหนี้ 221,108.12 บาทที่ผู้คัดค้านมีหนังสือยืนยันหนี้ว่าผู้ร้องเป็นหนี้ลูกหนี้324,617.71 บาท และให้ผู้ร้องชำระพร้อมดอกเบี้ยทบต้นนั้นไม่ถูกต้องผู้ร้องไม่อาจชำระหนี้ที่ค้างแก่ลูกหนี้ที่ภูมิลำเนาของลูกหนี้ได้เพราะลูกหนี้ถูกปิดที่ทำการและถูกร้องขอให้ล้มละลาย ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากผู้ร้องเพราะข้อตกลงระหว่างลูกหนี้กับผู้ร้องไม่อยู่ ในข้อ ยกเว้นที่จะให้เรียกดอกเบี้ยทบต้นได้ข้อตกลงดังกล่าวตกเป็นโมฆะ ในการที่ผู้ร้องกู้ยืม เงินดังกล่าวผู้ร้องได้มอบโฉนดที่ดินเลขที่ 30196 ตำบลมหาพฤฒาราม อำเภอบางรักกรุงเทพมหานคร ให้ไว้แก่ลูกหนี้ ซึ่งต่อมาผู้คัดค้านได้ยึดโฉนดดังกล่าวของผู้ร้องไว้ ขอศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือยืนยันหนี้ของผู้คัดค้านโดยให้ผู้คัดค้านรับชำระหนี้ จำนวน 221,108.12 บาทจากผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14ตุลาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ผู้ัคัดค้านคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 30196 ตำบลมหาพฤฒาราม อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร ให้ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านวา ตามทางสอบสวนของผู้คัดค้านปรากฏว่าผู้ร้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ รวม 18 ครั้ง จำนวนเงินแต่ละครั้งไม่เท่ากันมีทั้งมากและน้อยกว่าจำนวนที่ต้องชำระตามสัญญากู้ การชำระเงินแต่ละครั้งมิได้เป็นตามกำหนดระยะเวลาในสัญญา ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2528 ผู้ร้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ลูกหนี้เป็นเงิน 6,500 บาท เมื่อหักชำระหนี้แล้ว ปรากฏว่าในวันดังกล่าวผู้ร้องเป็นหนี้ลูกหนี้ เป็นเงิน321,108.12 บาท มิใช่จำนวน 221,108.12 บาท ดั่งผู้ร้องอ้างเหตุที่ยอดหนี้ต่างกัน 100,000 บาท เพราะความผิดพลาดในการลงยอดเงินต้นคงเหลือในใบเสร็จรับเงินงวดที่ 12 สัญญากู้ กำหนดระยะเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอน แต่ผู้ร้องชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนดระยะเวลาและภายหลังที่ผู้ร้องชำระครั้งสุดท้าย ผู้ร้องก็ไม่ชำระหนี้อีกผู้ร้องจึงตกเป็นผู้ ผิดนัด ผู้คัดค้านมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้ตามข้อ 5 ของสัญญากู้ ที่ผู้ร้องอ้างว่าไม่อาจชำระหนี้ให้ลูกหนี้ได้เพราะลูกหนี้ถูกปิดกิจการและถูกร้องขอให้ล้มละลายนั้นไม่อาจรับฟังได้เพราะผู้ร้องสามารถชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 หรือนำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ ตามมาตรา 331 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ผู้ร้องหาปฏิบัติเช่นว่านั้นไม่ ที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 30196 ตำบลมหาพฤฒาราม อำเภอบางรักกรุงเทพมหานคร แก่ผู้ร้อง เป็นการนอกประเด็นเรื่องปฏิเสธหนี้ทั้งผู้ร้องไม่เคยขอโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนจากผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านไม่ได้โต้แย้งสิทธิของผู้ร้องแต่ประการใด ขอศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องและให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวน 324,617.71 บาท แก่ผู้คัดค้านพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี ทบต้นเป็นรายปีของเงินต้น321,108.12 บาท นับแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องยังค้างชำระเงินต้นแก่บริษัทลูกหนี้ จำนวน 321,108.12 บาท แต่ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่มีกฎหมายบังคับว่าการอ้างเอกสารเป็นพยานจะต้องมีผู้ทำเอกสารมาเบิกความรับรองจึงจะรับฟังได้ และที่เจ้าหน้าที่ของกรมบังคับคดีมาเบิกความประกอบเอกสารหมาย ค.2 ค.3เกี่ยวกับรายการและข้อผิดพลาดในเอกสารหมาย ค.3 ก็มิใช่พยานบอกเล่าเพราะเจ้าหน้าที่ของกรมบังคับคดีได้เบิกความไปตามที่ตรวจพบเห็นจึงถือว่าเป็นพยานโดยตรง ที่เอกสารหมาย ค.3 มีรอยขูดลบแก้ไขโดยไม่มีผู้ใดรับรอง ก็ไม่ถึงกับรับฟังไม่ได้ สาระสำคัญอยู่ ที่ว่าการแก้ไขนั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจะได้วินิจฉัยต่อไป อีกทั้งเอกสารดังกล่าวผู้คัดค้านรวบรวมได้จากเอกสารของลูกหนี้ รวมเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้าน ซึ่งเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้ จึงถือว่าเป็นเอกสารในสำนวนคดีเรื่องอื่นอันเป็นเอกสารเป็นชุด คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งทราบดีอยู่แล้วหรือสามารถตรวจสอบให้ทราบได้โดยง่ายถึงความมีอยู่ และความแท้จริงแห่งเอกสารนั้น จึงไม่จำต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่าย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(1) แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องเป็นหนี้ลูกหนี้อยู่ จริงตามที่ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ไป ส่วนที่ผู้คัดค้าน ยืนยันหนี้ไปเกินกว่าจำนวนที่มีหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ โดยแจ้งให้ชำระหนี้ 321,108.12บาท แต่ยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้ 324,617.71 บาท โดยเหตุผลว่าตามการ์ดบัญชีเอกสารหมาย ค.3 นี้ เจ้าหน้าที่ของลูกหนี้คิดยอดเงินดอกเบี้ยผิดไป เมื่อคิดใหม่แล้วคงมี ดอกเบี้ย ค้างอยู่3,509.59 บาท นั้น ศาลล่างทั้งสองมิได้ให้เหตุผลในคำวินิจฉัยว่าเหตุใดจึงให้ผู้ร้องรับผิดเพียงเท่าจำนวนที่แจ้งให้ชำระหนี้ครั้งแรกศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ชัดแจ้ง เห็นว่า ที่ นางสาวรัตนาผู้คิดบัญชีอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของลูกหนี้คิดจำนวนหนี้ผิดนางสาวรัตนาจึงคิดใหม่ แต่ไม่ปรากฏว่าผิดอย่างไร และที่คิดใหม่ถูกต้องอย่างไร การจะเอาตัวเลขที่อ้างว่าคิดถูกแล้วบวกเข้าไปในจำนวนหนี้ที่เรียกให้ผู้ร้องชำระ แล้วยืนยันหนี้เพิ่มขึ้นโดยไม่มีเหตุผล จึงเป็นการยืนยันหนี้เกินกว่าที่ทวงไปเป็นการไม่ชอบต้องถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้อยู่ ตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งไปครั้งแรก
พิพากษายืน.