คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่โจทก์นำยึดในฐานะเจ้าของรวมโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาจึงมีสิทธิยึดบ้านดังกล่าวได้ แม้ผู้ร้องจะเป็นเจ้าของรวมในบ้านดังกล่าวก็ไม่มีสิทธิจะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้กู้ยืมศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงิน 25,000 บาท แก่โจทก์ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 52 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านทรายอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เพื่อบังคับชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า บ้านดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลย ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลย ขณะเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ ผู้ร้องมิได้คัดค้าน ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงบรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 52หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านทราบ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี โดยอ้างว่าเป็นบ้านของจำเลย ผู้ร้องซึ่งเป็นมารดาจำเลยอ้างว่าบ้านดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง เพราะผู้ร้องกับสามีเป็นผู้สร้าง และได้อยู่อาศัยกับสามีตลอดมาจนกระทั่งสามีถึงแก่กรรม แล้วได้รื้อสร้างใหม่ ผู้ร้องมีบุตร 4 คน ต่างอาศัยอยู่กับผู้ร้อง มีปัญหาตามที่ผู้ร้องฎีกาว่าบ้านที่โจทก์นำยึดนี้หลังจากสามีผู้ร้องถึงแก่กรรมแล้วผู้ร้องได้รื้อสร้างใหม่จึงเป็นของผู้ร้อง โจทก์ไม่มีสิทธิยึดบ้านดังกล่าวนั้นข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยยังมีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่โจทก์นำยึดในฐานะเจ้าของรวม โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาจึงมีสิทธิยึดบ้านดังกล่าวได้ ผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในบ้านดังกล่าวไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ได้…”
พิพากษายืน.

Share