คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 7 วัน ผู้ร้องไม่นำส่งภายในกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นสั่งให้รวบรวมสำนวนส่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาต่อไป ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาดังกล่าวแต่กลับพิจารณาพิพากษาคดีไป ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีโดยมิชอบ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ผู้ร้องฎีกามายังมิได้ผ่านการพิจารณาและพิพากษาของศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์นำยึดที่ดินจำเลยซึ่งติดจำนองบุคคลอื่นอยู่ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสขอกันส่วนเงินที่เกินจากราคาจำนองไว้ให้ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง โจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วน เพราะหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ว่า “รับอุทธรณ์คำสั่ง สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 7 วัน” ผู้ร้องไม่มาติดต่อนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นสั่งว่า “รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาต่อไป” ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาดังกล่าว แต่กลับพิจารณาพิพากษาคดีไปทั้งที่ผู้ร้องยังมิได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีโดยไม่ชอบ ดังนั้น ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ผู้ร้องฎีกามา จึงต้องถือว่ายังมิได้ผ่านการพิจารณาและพิพากษาของศาลอุทธรณ์มาแล้วแต่อย่างใด

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

Share