คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2566-2567/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ทางสาธารณะซึ่งมีผู้สร้างอาคารรุกล้ำ วางสิ่งของเกะกะ หรือผู้อยู่อาศัยซ่อมกันเอง ก็ไม่สิ้นสภาพทางสาธารณะ
ทางพิพาทและทางเดินติดต่อกับทางพิพาทมิใช่จะใช้เดินออกไปสู่ถนนเท่านั้น แต่ยังเดินไปทางอื่น ๆ ได้อีกเมื่อมีผู้สร้างกำแพงและทิ้งวัสดุต่าง ๆ บนที่ดินซึ่งเป็นทางสาธารณะปิดกั้นทางเข้าออกของผู้ใดทำให้ผู้นั้นขาดความสะดวกในการไปมาและใช้ทรัพย์ถือได้ว่าผู้นั้นได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จึงมีสิทธิฟ้องผู้สร้างกำแพงและทิ้งวัสดุได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าตามคดีหมายเลขดำที่ 11871/2519 ให้นายซารับยิตซิงห์ สัจจเทพ กับพวกรวม 4 คน จำเลย รื้อถอนประตูเหล็กยืด โครงเหล็กรองรับเครื่องปรับอากาศ และเครื่องปรับอากาศของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติก็ให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รื้อถอน โดยให้จำเลยทั้งสี่เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนนั้น นอกจากที่กล่าวมาแล้วให้ยกฟ้องของโจทก์ และตามคดีหมายเลขดำที่ 10009/2520 ให้ยกฟ้องของนายซารับยิตซิงห์ สัจจเทพ กับพวกรวม 4 คน โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ สำนวนคดีหมายเลขดำที่ 11871/2519 คดีหมายเลขแดงที่ 6897/2521 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 10009/2520 คดีหมายเลขแดงที่ 6988/2521 ของศาลชั้นต้น รื้อกำแพงและขนวัสดุต่าง ๆ ออกไปจากทางพิพาทห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทาง หากจำเลยไม่ยอมรื้อ ให้โจทก์ดำเนินการรื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่าย โจทก์และจำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ตามเหตุผลดังกล่าว ศาลฎีกา เชื่อว่ามีทางตั้งแต่ตรงที่จำเลยกั้นประตูเหล็กยืด ผ่านหน้าที่ดินโฉนดเลขที่ 2298,2375 ของโจทก์และที่ดินของผู้อื่นที่อยู่บริเวณนั้นตลอดไปจนจดกับซอยที่ผ่านข้างธนาคาร ซี ไฮ ทง ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนราชวงศ์ การที่มีตึกแถวปลูกอยู่สองข้างทางพิพาท ผู้อยู่อาศัย ณ ที่นั้นย่อมใช้ทางพิพาทเข้าออกเป็นธรรมดาจากคำพยานจำเลยได้ความว่าผู้ที่เคยอยู่ที่ตึกเลขที่ 207, 209 และ 554 ของจำเลย หรือบุคคลอื่น ๆ ซึ่งไปกลับที่ตึกดังกล่าวใช้ทางพิพาทดังกล่าวโดยไม่มีผู้ใดหวงห้าม จึงเชื่อได้อีกว่าทางนั้นตลอดสายเป็นทางสาธารณะแม้บางตอนมีผู้อยู่อาศัยที่อาคารข้างทางต่อเติมสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ เหนือหรือยื่นเข้าไป หรือวางสิ่งของเครื่องใช้เกะกะในทาง หรือเมื่อทางนั้นชำรุดเสียหาย ผู้อยู่อาศัยข้างทางซ่อมแซมกันเองไม่ใช่ทางการกรุงเทพมหานครซ่อมแซมให้ดังที่โจทก์ฎีกา ก็หาทำให้ทางนั้นสิ้นสภาพจากการเป็นทางสาธารณะไปไม่ ฉะนั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาว่าแม้จะฟังว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะและถูกปิดกั้น จำเลยก็ไม่ได้เสียหายเป็นพิเศษ เพราะยังเข้าออกทางตึกเลขที่ 207, 209 สู่ถนนราชวงศ์ ซึ่งสะดวกและสั้นกว่าทางพิพาท จำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณา เมื่อใช้ทางพิพาทและทางเดินติดต่อกับทางพิพาทแล้ว มิใช่ว่าจะเดินไปออกสู่ถนนราชวงศ์เท่านั้น ยังเดินไปทางอื่น ๆ ได้อีกดังที่ปรากฏตามแผนที่ระวางของกรมที่ดินเอกสารหมาย ล.14 โจทก์สร้างกำแพงและทิ้งวัสดุต่าง ๆ บนที่ดินซึ่งเป็นทางสาธารณะปิดกั้นทางเข้าออกของจำเลย ทำให้จำเลยขาดความสะดวกในการไปมาและใช้ทรัพย์ถือได้ว่าจำเลย (โจทก์สำนวนที่สอง) ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จึงมีสิทธิฟ้องโจทก์ (จำเลยสำนวนที่สอง) ให้รื้อถอนกำแพงที่ปิดกั้นทางพิพาท กับขนเศษวัสดุต่าง ๆ ตามฟ้องออกไปให้พ้นจากทางพิพาท และให้เสียค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้ได้

ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น เพราะประเด็นพิพาทในสองสำนวนนี้มีเพียงว่าที่พิพาทเป็นทางภารจำยอมตามฟ้องของจำเลย(โจทก์สำนวนที่สอง) หรือไม่เท่านั้น เห็นว่าในสำนวนที่สองโจทก์ได้บรรยายกล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 79/2518 ระหว่างนางล้อม ขุนทองแก้ว โจทก์ นางอัมพา วีระพงษ์ จำเลย”

พิพากษายืน

Share