แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป. จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 25เมษายน 2495 ต่อมาได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์เมื่อวันที่15 ธันวาคม 2503 และจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2507 วันที่ 24 มิถุนายน 2507ป. จดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แต่ต่อมาวันที่ 5สิงหาคม 2507 ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 อีก และหลังจากนั้นคือวันที่ 30 ตุลาคม 2507 โจทก์กับ ป.จึงได้จดทะเบียนสมรสกันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง วันที่ 1เมษายน 2519 ป. ถึงแก่กรรมเช่นนี้การจดทะเบียนสมรสระหว่าง ป. กับโจทก์ครั้งแรกและระหว่าง ป. กับจำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3) เพราะในขณะนั้น ป. เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 อยู่แล้ว จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 สำหรับจำเลยที่ 1 แม้จะปรากฏว่าได้จดทะเบียนหย่ากับ ป. ทำให้การสมรสขาดลง แต่ต่อมาก็ได้จดทะเบียนสมรสกันใหม่โดยสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการสมรสระหว่าง ป. กับโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้เป็นโมฆะมาตั้งแต่วันที่ได้จดทะเบียนสมรสแล้ว การที่โจทก์มาจดทะเบียนสมรสกับ ป. ครั้งหลังอีกจึงเป็นโมฆะเพราะขณะนั้น ป. เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายแต่ผู้เดียวของ ป. มีอำนาจฟ้องขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับ ป. เป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2519 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ยื่นหลักฐานต่อทางราชการว่าเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ ความจริงจำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกับจ่าสิบเอกประเสริฐในขณะที่จ่าสิบเอกประเสริฐกับโจทก์เป็นสามีภรรยากันอยู่ กระทรวงกลาโหมไม่จ่ายบำเหน็จตกทอดให้โจทก์ ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสของจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะ และให้ศาลแจ้งคำสั่งของศาลไปยังสำนักทะเบียนให้เพิกถอนทะเบียนสมรสของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2495 ก่อนจ่าสิบเอกประเสริฐมาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์และจำเลยที่ 2 การสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นโมฆะ โจทก์รบเร้าให้จ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 จ่าสิบเอกประเสริฐจึงทำการลวงโจทก์โดยจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แล้วรีบจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 ใหม่ แล้วเอาทะเบียนหย่าไปให้โจทก์ดูและจดทะเบียนสมรสกับโจทก์อีก เมื่อจ่าสิบเอกประเสริฐถึงแก่กรรม โจทก์เอาทะเบียนสมรสที่เป็นโมฆะไปขอรับเงินบำเหน็จตกทอดและคัดค้านการที่จำเลยที่ 1 ขอรับบำเหน็จตกทอด เป็นการไม่ชอบ ขอให้พิพากษายกฟ้องและพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นโมฆะให้โจทก์ไปเพิกถอนทะเบียนสมรสดังกล่าวกับถอนคำขอและคำคัดค้านที่จำเลยที่ 1 ยื่นขอรับบำเหน็จตกทอดของจ่าสิบเอกประเสริฐ หากโจทก์ไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ และห้ามโจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวอีก
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐจะจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2495 จริงหรือไม่ไม่รับรองหากเป็นความจริงก็จดทะเบียนหย่ากันแล้วเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2507 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจ่าสิบเอกประเสริฐอย่างถูกต้อง โจทก์ไม่เคยรบเร้าให้จ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แล้วมาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์การที่โจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนสมรสกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2507 ก็เพราะตามทะเบียนสมรสเดิมโจทก์ชื่อ “บัวรินทร์” เมื่อเปลี่ยนชื่อมาเป็น “อารียา” จึงจดทะเบียนสมรสกันใหม่ การจดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2507 เป็นโมฆะเพราะขณะนั้นโจทก์เป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐอยู่แล้วโจทก์มีสิทธิขอรับบำเหน็จตกทอดของจ่าสิบเอกประเสริฐ ไม่เป็นการละเมิด ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐตกเป็นโมฆะ คำขออื่นนอกจากนี้ของจำเลยที่ 1 ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงคงรับฟังได้ว่าเดิมจ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2495 แล้วต่อมาจ่าสิบเอกประเสริฐได้มาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์และจำเลยที่ 2 อีก โดยจดกับโจทก์วันที่ 15 ธันวาคม 2503 ขณะนั้นโจทก์ใช้ชื่อ “บัวรินทร์” และจดกับจำเลยที่ 2 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2507 วันที่ 24 มิถุนายน 2507 จ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แต่ต่อมาในวันที่ 5 สิงหาคม2507 จ่าสิบเอกประเสริฐก็จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 อีก และหลังจากนั้นคือ ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2507 โจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐก็จดทะเบียนสมรสกันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งหลังนี้โจทก์ใช้ชื่อ “อารียา” ซึ่งเป็นชื่อของโจทก์ในปัจจุบัน ครั้นวันที่ 1 เมษายน 2519 จ่าสิบเอกประเสริฐถึงแก่กรรมโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างไปขอรับเงินบำเหน็จตกทอดของจ่าสิบเอกประเสริฐจากกระทรวงกลาโหม อ้างว่าเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐทางกระทรวงกลาโหมขัดข้อง จะจ่ายให้แต่เฉพาะภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐเพียงผู้เดียว จึงพิพาทกันเป็นคดีนี้มีประเด็นข้อวินิจฉัยว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 เป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับโจทก์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2503 และระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2507 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3) เพราะในขณะนั้นจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 อยู่แล้ว จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 สำหรับจำเลยที่ 1 แม้จะปรากฏว่าในวันที่ 24 มิถุนายน 2507 ได้จดทะเบียนหย่ากับจ่าสิบเอกประเสริฐทำให้ขาดจากการสมรสก็ตามแต่ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2507 จำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐก็ได้จดทะเบียนสมรสกันใหม่ การจดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐในครั้งหลังนี้สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายเพราะขณะที่จดทะเบียนสมรสครั้งหลังนี้จ่าสิบเอกประเสริฐมิได้เป็นคู่สมรสของโจทก์หรือของจำเลยที่ 2 เนื่องด้วยการสมรสระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับโจทก์และระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับจำเลยที่ 2 เป็นโมฆะตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสกันแล้วดังวินิจฉัยมาข้างต้น เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2507 ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์มาจดทะเบียนสมรสกับจ่าสิบเอกประเสริฐครั้งหลังในวันที่ 30 ตุลาคม 2507 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3), 1490 อีกเช่นกัน เพราะขณะนั้นจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 อยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายแต่ผู้เดียวของจ่าสิบเอกประเสริฐจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นโมฆะ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เสียนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น