คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2566/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์เบิกความตามลำดับเหตุการณ์สอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะบันทึกการจับกุม ซึ่งทำกันทันทีที่จับกุม น. ซึ่งถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยรับว่าได้ซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 1 แม้ในชั้นพิจารณา น.จะเบิกความเป็นอย่างอื่นว่าได้ซื้อเฮโรอีนมาส่งให้จำเลยที่ 1 เพื่อเสพด้วยกันก็ตาม แต่เป็นที่เห็นได้ว่าที่เบิกความเช่นนั้นก็เพื่อช่วยจำเลยที่ 1 จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายเฮโรอีนให้ น. จริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 67,97, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91ริบเฮโรอีนและเงิน 30 บาท ที่ได้จากการจำหน่ายเฮโรอีนของกลางคืนเงิน 40 บาทของกลาง ที่ใช้ในการล่อซื้อแก่เจ้าพนักงานที่เป็นเจ้าของ และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปฏิเสธข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับว่าเคยต้องโทษตามคดีหมายเลขแดงที่ 572/2530 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66, 67 จำเลยที่ 2มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15,67 ฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 2 ปีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2กึ่งหนึ่งตามมาตรา 97 เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปีฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี ริบของกลางเฮโรอีนและเงิน 30 บาทที่ได้จากการจำหน่ายเฮโรอีน คืนเงิน 40 บาท ของกลางที่ใช้ทำการล่อซื้อให้แก่เจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 67 จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือนเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 66 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาเพียงว่า จำเลยที่ 1 มียาเสพติดให้โทษจำนวน 0.08 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายให้นายนิตย์ แสงเพ็ชรอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 66 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์มีพยานคือ พลตำรวจไพรวัลย์ บุญช่วย เบิกความว่าได้รับแจ้งทางวิทยุจากพลตำรวจสุมิตรว่ามีชายแก่ลักษณะติดยาเสพติดให้โทษขี่รถจักรยานตรงไปที่บ้านของจำเลยทั้งสองพยานใช้กล้องส่องดู เห็นชายคนหนึ่งถีบรถจักรยานเข้าไปที่บ้านของจำเลยทั้งสอง เห็นจำเลยที่ 1 ออกมายื่นของส่งให้ชายนั้นและขายนั้นส่งเงินให้จำเลยที่ 1 พยานจึงได้แจ้งทางวิทยุให้ร้อยตำรวจโทไพศาลทราบ ร้อยตำรวจโทไพศาลได้เบิกความว่าพลตำรวจไพรวัลย์ซึ่งส่องกล้องดูอยู่ที่บ้านฝั่งตรงกันข้ามได้วิทยุแจ้งว่าขายที่ขี่จักรยานไปถึงที่หน้าบ้านจำเลยแล้วแล้วจำเลยที่ 1 ได้ลงจากบ้านมายืนอยู่ภายในรั้วคุยกับชายคนนั้นครู่หนึ่งชายคนนั้นก็จูงรถจักรยานออกไปพลตำรวจเกรียงไกร ฤชาญ เบิกความว่าได้รับแจ้งทางวิทยุจากพลตำรวจสุมิตรว่า มีชายชราคนหนึ่งถีบรถจักรยานเข้าไปซื้อยาเสพติดให้โทษที่บ้านของจำเลยที่ 2 พยานกับร้อยตำรวจโทไพศาลและสิบตำรวจโทพยัพได้ขับรถจักรยานยนต์เข้าไปที่บ้านจำเลยเมื่อไปถึงเห็นจำเลยที่ 1 กำลังส่งของให้ชายชราคนนั้นแล้วจำเลยที่ 1 วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน พยานจับชายชราคนนั้นได้ทราบชื่อว่านายนิตย์ แสงเพ็ชร พร้อมเฮโรอีน 1 หลอด สำหรับนายนิตย์ นี้ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนให้การรับสารภาพว่าได้ซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 1 จริง เห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์เบิกความตามลำดับเหตุการณ์สอดคล้องต้องกันโดยเฉพาะบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งทำกันทันทีที่จับกุมตัวจำเลยทั้งสองและนายนิตย์ได้ นายนิตย์ก็รับว่าได้ซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 1 จริง แม้ว่าในชั้นพิจารณานายนิตย์จะเบิกความเป็นอย่างอื่นว่า ได้ซื้อเฮโรอีนมาส่งให้จำเลยที่ 1เพื่อเสพด้วยกันก็ตามแต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่า ที่เบิกความเช่นนั้นก็เพื่อช่วยจำเลยที่ 1 ที่นายนิตย์เบิกความว่าเป็นผู้นำเฮโรอีนมามอบให้จำเลยที่ 1 โดยโยนข้ามรั้วไปให้นั้น ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายเฮโรอีนให้นายนิตย์จริง จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามมาตรา 66 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่งด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี รวมกับโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองตาม มาตรา 67 ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดโทษไว้แล้วเป็นจำคุก 5 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share