คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2566/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นบุตรเจ้าของโรงเรียนไม่มีหน้าที่อันใดในโรงเรียนไปยืนอยู่หน้าห้องขัดขวางการประชุมครูของโจทก์ร่วมครูใหญ่และผู้จัดการโรงเรียนซึ่งเช่าจากบิดาจำเลย ดังนี้จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จำคุก 2 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์มีโจทก์ร่วมเบิกความเป็นพยานว่าจำเลยยืนขวางประตูซึ่งมีอยู่ประตูเดียวแล้วพูดดัง ๆ ว่า ไม่ให้ครูเข้าประชุม ครูที่จะมาประชุมมีอยู่ 12 คน ทุกคนมาพร้อมแต่เข้าประชุมไม่ได้เพราะจำเลยยืนขวางประตู นางสาวสุธีฬา ชมสุรินทร์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นน้องสาวโจทก์ร่วมเบิกความว่าก่อนประชุมพยานทราบจากนางยุพาพรว่า จำเลยเดินตามห้องเรียนบอกครูว่าไม่ต้องประชุมในวันนี้ เมื่อพยานกลับจากทำหนังสือนัดประชุมครูไปให้ครูที่จะเข้าประชุมรับทราบตามที่โจทก์ร่วมใช้ให้ไปมาถึงหน้าห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เห็นจำเลยออกจากห้องชั้นประถมปีที่ 6 ซึ่งมีอยู่ประตูเดียว ได้ยินโจทก์ร่วมพูดกับจำเลยว่า “เดี๋ยวจะไปหาสารวัตร ถ้าคุณเป็นลูกผู้ชาย คุณต้องยอมรับ” ต่อจากนั้นโจทก์ร่วมก็เดินลงบันไดไปสถานีตำรวจนครบาลบางเขน นางพิศมัยวรางควณิชย์ พยานโจทก์เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลา 12 นาฬิกา ได้รับทราบคำสั่งของโจทก์ร่วมให้ประชุมครูในวันนั้นเวลา 13.45 นาฬิกา ครั้นถึงเวลาพักมีครูประมาณ 10 กว่าคนขึ้นไปยืนอยู่ที่หน้าห้องชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นห้องที่จะประชุม เมื่อพยานจะเดินเข้าห้องดังกล่าวเห็นโจทก์ร่วมยืนพูดกับจำเลยอยู่หน้าห้อง จำเลยพูดว่า “คุณครูใหญ่ได้รับอนุญาตจากพ่อผมหรือยังที่จะประชุมครูวันนี้” โจทก์ร่วมพูดว่า “ขัดขวางไม่ให้ประชุมใช่ไหม ต้องยอมรับว่าได้ขัดขวางเดี๋ยวจะไปตามตำรวจมา” จากนั้นโจทก์ร่วมเดินลงบันไดไป ในวันนั้นไม่มีการประชุมตามพฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยมีพยานโจทก์เบิกความมานี้เห็นว่าจำเลยได้ขัดขวางมิให้โจทก์ร่วมดำเนินการประชุมครู จำเลยกล่าวอ้างว่าจำเลยเข้าไปในโรงเรียนและเพียงแต่พูดห้ามโจทก์ร่วมไม่ให้ประชุมครูเพื่อช่วยเหลือบิดาดูแลกิจการของโรงเรียนนั้นไม่มีน้ำหนักและเหตุผลรับฟังได้ เพราะจำเลยเองก็เบิกความรับว่าโจทก์ร่วมได้พูดกับจำเลยว่า “คุณเป็นลูกผู้ชายจริงไหม ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริงต้องยอมรับ” ซึ่งมีลักษณะเป็นคำพูดที่ต่อว่าต่อขานจำเลยที่ขัดขวางการประชุมครูของโจทก์ร่วม หากจำเลยพูดห้ามเฉย ๆ ไม่ให้โจทก์ร่วมประชุมครูก็ไม่มีเหตุที่โจทก์ร่วมจะใช้คำพูดกับจำเลยในลักษณะเช่นนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเข้าขัดขวางการประชุมครูของโจทก์ร่วมโดยที่จำเลยไม่มีหน้าที่อันใดในโรงเรียนและปรากฏข้อเท็จจริงจากข้อนำสืบของโจทก์และจำเลยฟังได้ว่าโจทก์ร่วมยังครอบครองโรงเรียนโดยสิทธิการเช่าจากบิดาจำเลย และโจทก์ร่วมก็ยังเป็นครูใหญ่โรงเรียนอยู่ จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นเป็นการรบกวนการครอบครองโรงเรียนอุทัยวิทยาซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่โจทก์ร่วมครอบครองโดยปกติสุข จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานบุกรุก ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น”

Share