แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บริษัท ค.ตกลงมอบอำนาจให้จำเลยหรือท. คนใดคนหนึ่งลงนามพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทดำเนินกิจการต่าง ๆ แทนบริษัทได้ ดังนั้น การที่ ท. แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท ค. ในสัญญาโอนขายลดเช็คที่ทำไว้กับโจทก์จึงเป็นการกระทำ ในฐานะตัวแทนของบริษัท เมื่อสัญญาโอนขายลดเช็คไม่มีข้อจำกัด ว่าเช็คที่บริษัท ค. นำมาขายลดให้แก่โจทก์จะต้องเป็นเช็คลูกค้าของบริษัทเท่านั้น และตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ก็ระบุความรับผิดของจำเลยรวมถึงหนี้ตามเช็คของบุคคลอื่นที่บริษัท ค. ได้นำมาขายลดแก่โจทก์ด้วย จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน ซึ่งบริษัท ค. เป็นหนี้โจทก์อยู่ 2 ล้านบาทเศษ จำเลยมิได้คัดค้านการนำสืบสำเนาภาพถ่ายเช็คและบอกกล่าวไปยังโจทก์ก่อนวันสืบพยาน จำเลยจึงต้องห้ามมิให้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงหรือความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารนั้นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 125 ศาลมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวได้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าถือไม่ได้ว่าบริษัท ค. ได้ทำสัญญาโอนขายลดเช็คกับโจทก์เพราะ ท. แต่เพียงผู้เดียวไม่มีอำนาจ ซึ่งปัญหานี้โจทก์ได้กล่าวโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ หาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นไม่ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยบอกให้รอไปก่อนแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้จึงยังไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว อย่างไรก็ตามปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินเฉพาะที่ดินพร้อมด้วยอาคารอันเป็นที่ตั้งบริษัท ค. ซึ่งติดจำนองอยู่เป็นเงิน 2,500,000 บาทที่ดินและอาคารดังกล่าวราคาประมาณ 5,000,000 บาท และเป็นสินสมรส เมื่อบังคับใช้หนี้จำนองแล้ว ส่วนที่เหลือจำเลยในฐานะสามีย่อมมีส่วนเป็นเจ้าของเพียงครึ่งหนึ่งคือไม่เกิน 1,250,000 บาทซึ่งน้อยกว่าจำนวนหนี้ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์จึงถือได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว ศาลชอบที่จะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2526 บริษัท ท. ค้าไม้จำกัด ได้ทำสัญญาโอนขายลดเช็คไว้กับโจทก์ ตกลงว่าโจทก์ยินยอมให้บริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด นำเช็คของบริษัท หรือของผู้มีชื่อมาขายลดกับโจทก์ได้ภายในวงเงินหมุนเวียนในขณะใดขณะหนึ่งรวมกันไม่เกิน3,000,000 บาท หากเช็คที่บริษัทนำมาขายลดแก่โจทก์ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค บริษัทยอมรับผิดชดใช้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20 ต่อปีและในวันดังกล่าวจำเลยได้ทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ทุกชนิดของบริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด โดยยอมรับผิดร่วมกับบริษัทในวงเงิน 3,000,000 บาท รวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้อัมมีดอกเบี้ยค่าสินไหมทดแทนในการชำระหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมในการดำเนินคดี ต่อมาบริษัทได้นำเช็คของผู้มีชื่อมาขายลดแก่โจทก์จำนวน 5 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2,140,290 บาท แต่ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คทั้ง 5 ฉบับ ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ทวงถามให้บริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด ผู้ขายลดเช็คและจำเลยผู้ค้ำประกันชำระหนี้ดังกล่าวหลายครั้งแล้ว แต่บริษัทท. ค้าไม้ จำกัด และจำเลยเพิกเฉย จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนเกินกว่า 50,000 บาท อันเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้และจำเลยได้แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
จำเลยให้การว่า ขณะมีการขายลดเช็คดังโจทก์ฟ้องผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด จะต้องกระทำโดยนายทวีศักดิ์โล่ห์สถาพรพิพิธ หรือจำเลยลงลายมือชื่อร่วมกับนายเทพ ตรีวิศวเวทย์หรือนายกำธร ตรีวิศวเวทย์ และประทับตราสำคัญของบริษัทจึงจะมีผลผูกพันบริษัท การที่นายทวีศักดิ์กรรมการเพียงคนเดียวของบริษัทนำเช็คของผู้อื่นซึ่งไม่ใช่เช็คลูกค้าของบริษัทจำนวน 5 ฉบับ ตามฟ้องโจทก์ ไปขายลดแก่โจทก์ จึงไม่มีผลผูกพันบริษัท ท. ค้าไม้ จำกัดบริษัทจึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คทั้ง 5 ฉบับ จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดด้วย จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์เกินกว่า 50,000 บาทจำเลยยังมีทรัพย์พอชำระหนี้แก่โจทก์ได้ จำเลยไม่เคยแจ้งแก่โจทก์ว่าจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า บริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด ไม่ได้ทำสัญญาโอนขายลดเช็คให้แก่โจทก์ และเช็คที่นายทวีศักดิ์ โล่ห์สถาพรพิพิธนำมาขายลดให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เช็คลูกค้าของบริษัท ท. ค้าไม้ จำกัดจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่ และมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยนั้นโจทก์มีสำเนาภาพถ่ายรายงานการประชุมของบริษัทท. ค้าไม้ จำกัด เอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 มาแสดงเป็นหลักฐานว่าบริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด ได้ตกลงมอบอำนาจให้จำเลยหรือนายทวีศักดิ์โล่ห์สถาพรพานิช คนใดคนหนึ่งลงนามพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทดำเนินกิจการต่าง ๆ แทนบริษัทได้ ดังนั้นการที่นายทวีศักดิ์แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท ท. ค้าไม้ จำกัดในสัญญาโอนขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.1 ที่ทำไว้กับโจทก์นั้น จึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของบริษัทและตามสัญญาโอนขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.1 ไม่มีข้อจำกัดว่าเช็คที่บริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด นำมาขายลดให้แก่โจทก์จะต้องเป็นเช็คลูกค้าของบริษัทเท่านั้น และตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 ที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ ก็ระบุความรับผิดของจำเลยรวมถึงหนี้ตามเช็คของบุคคลอื่นที่บริษัทท. ค้าไม้ จำกัด ได้นำมาขายลดแก่โจทก์ด้วย อนึ่งโจทก์ยังมีสำเนาภาพถ่ายเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้ค่าซื้อเช็คจากบริษัท ท. ค้าไม้จำกัด รวม 3 ฉบับ มาแสดงเป็นหลักฐานด้วยตามเอกสารหมาย จ.15 ถึงจ.17 ในสำนวนคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 393/2529 ของศาลชั้นต้นซึ่งตามเช็ค 3 ฉบับดังกล่าวแสดงได้ว่าโจทก์ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 2 ล้านบาทเศษ เข้าบัญชีของบริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด โดยเฉพาะมิใช่สั่งจ่ายให้นายทวีศักดิ์เป็นส่วนตัว บริษัท ท. ค้าไม้ จำกัดจึงได้รับประโยชน์ตามสัญญาขายลดเช็คนั้นโดยตรง…พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าฟังได้ว่า บริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด ได้มอบหมายให้นายทวีศักดิ์เป็นตัวแทนทำสัญญาโอนขายลดเช็คกับโจทก์ และบริษัทได้เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาดังกล่าวเป็นเงิน 2 ล้านบาทเศษ จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์จากสัญญาค้ำประกัน ส่วนที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.15 ถึง จ.17 ในสำนวนคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 393/2529 ของศาลชั้นต้น เป็นสำเนาภาพถ่ายเช็คซึ่งจำเลยไม่รับรองว่าถูกต้องหรือมีอยู่จริง ตามคำร้องของจำเลย ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2530 สำเนาเอกสารดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้นั้น ปรากฏว่าจำเลยมิได้คัดค้านการนำสืบสำเนาเอกสารดังกล่าวและบอกกล่าวไปยังโจทก์ก่อนวันสืบพยาน ฉะนั้น จำเลยจึงต้องห้ามมิให้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริง หรือความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ศาลมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวได้ และที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นซึ่งวินิจฉัยว่าถือไม่ได้ว่าบริษัท ท. ค้าไม้ จำกัด ได้ทำสัญญาโอนขายลดเช็คกับโจทก์เพราะนายทวีศักดิ์แต่เพียงผู้เดียวไม่มีอำนาจนั้น เห็นว่า ปัญหานี้โจทก์ยังกล่าวโต้แย้งไว้ในคำแก่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนปัญหาตามฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่นั้น…โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาว่าจำเลยแจ้งแก่โจทก์ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้นั้น พยานโจทก์มีแต่นางภาวิณี เลิศพฤกษ์ ลูกจ้างโจทก์เพียงปากเดียวมาเบิกความว่าได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยบอกให้รอไปก่อน ไม่แต่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งแก่โจทก์ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงยังไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว อย่างไรก็ดีโจทก์มีนายดำรง วัฒนลักษณ์ ผู้ที่โจทก์มอบหมายให้สืบหาหลักทรัพย์ของจำเลยมาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่า จำเลยมีทรัพย์สินเฉพาะที่ดินพร้อมด้วยอาคารอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริษัท ท. ค้าไม้ จำกัดแต่ก็ติดจำนองอยู่เป็นเงิน 2,500,000 บาท ในข้อนี้ตัวจำเลยเองก็เบิกความเจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวว่า ที่ดินพร้อมด้วยอาคารดังกล่าวมีราคาประมาณ 5,000,000 บาทและติดจำนองอยู่เป็นเงิน 2,500,000 บาท จริง และว่าทรัพย์สินดังกล่าวจำเลยซื้อมาเมื่อสมรสกับนางอารยาแล้ว และได้ใส่ชื่อภริยาเป็นเจ้าของดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ทรัพย์สินดังกล่าวจะต้องถูกบังคับใช้หนี้จำนองเป็นเงิน 2,500,000 บาท ทั้งนี้ยังไม่รวมดอกเบี้ยส่วนที่เหลือจำเลยในฐานะสามีย่อมมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ครึ่งหนึ่งคือไม่เกิน 1,250,000 บาท เพราะเป็นสินสมรสซึ่งน้อยกว่าจำนวนหนี้ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์…ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา…”
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำสั่งศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย สำหรับค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร.