คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2562/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเช่านาพิพาทจากผ. ต่อมาผ. ขายนาพิพาทให้ผู้เสียหายผู้เสียหายต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผ. ตามพ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524คือต้องให้จำเลยใช้นาแปลงพิพาทต่อไปผู้เสียหายจึงไม่มีสิทธิที่จะไถทับที่นาซึ่งจำเลยปลูกข้าวไว้การที่จำเลยเก็บเกี่ยวข้าวในที่นาแปลงพิพาทจึงแสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเก็บเกี่ยวข้าวที่จำเลยได้หว่านไว้แม้จะปรากฏว่าผู้เสียหายได้ไถทับที่นาและปลูกต้นข้าวไว้ในนาพิพาทก็ตามแต่โดยสภาพของต้นข้าวที่ขึ้นมาจำเลยไม่น่าจะแยกได้ว่าเป็นต้นข้าวที่ตนหว่านไว้หรือเป็นต้นข้าวที่ผู้เสียหายปลูกไว้จำเลยจึงไม่มีเจตนาทุจริตที่จะลักต้นข้าวของผู้เสียหายจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลักต้นข้าวซึ่งเป็นพืชพันธ์ที่ได้มาจากการกสิกรรม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 83 ริบเคียวของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 83 ให้จำคุกคนละ 1 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยขาดเจตนาทุจริต พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้โต้แย้งกันฟังได้ว่าที่นาแปลงพิพาทนั้นแต่เดิมเป็นของนายผล คำมินเศษ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ผู้เสียหายได้ซื้อที่นาแปลงดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2525 ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองเก็บเกี่ยวข้าวโดยเจตนาลักทรัพย์ผู้เสียหายหรือไม่นั้น ได้ความจากจากนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าที่นาแปลงดังกล่าวจากนายผลใช้ทำนาตั้งแต่ปี 2524 โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า ระหว่างการเช่านายผลได้ขายที่นาแปลงพิพาทให้แก่นางพิม คำมินเศษ ผู้เสียหายและข้อเท็จจริงในปัญหาดังกล่าวได้ความจากคำเบิกความของนายสุกคำมินเศษ พยานโจทก์ว่า ในฤดูทำนาปี 2526 จำเลยทั้งสองได้เข้าไปไถที่นาแปลงพิพาทและหว่านข้าวไว้ ผู้เสียหายทราบจึงไปไถทับที่นาแและปลูกต้นข้าวไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเห้นได้ว่า การที่จำเลยทั้งสองเข้าไปไถนาและหว่านข้าวในที่นาแปลงพิพาทนั้น เพราะจำเลยทั้งสองถือว่าตนมีสิทธิทำนา โดยจำเลยที่ 1 ได้เช่านาแปลงพิพาทจากนายผลเจ้าของเดิม ตั้งแต่ก่อนที่นายผลจะขายให้แก่ผู้เสียหายหากจำเลยทั้งสองไม่ได้เช่าที่นาแปลงพิพาทแล้ว จำเลยทั้งสองก็ไม่อาจที่จะทำนาในที่นาแปลงพิพาทก่อนที่นายผลจะขายให้แก่ผู้เสียหายและไม่มีเหตุอันใดที่จำเลยทั้งสองจะไปไถนาและหว่านข้าวในที่นาพิพาทเมื่อนายผลได้ขายให้แก่ผู้เสียหายแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าที่นาแปลงพิพาท จำเลยทั้งสองจึงได้รับประโยชน์ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 28 ซึ่งบัญญัติว่าการเช่านาย่อมไม่ระงับไปเพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์นาที่เช่า ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านา เมื่อผู้เสียหายได้ซื้อที่นาแปลงพิพาทจากนายผลหลังจากจำเลยที่ 1ได้เช่าที่นาแปลงพิพาทจากนายผลแล้ว 1 ปี ผู้เสียหายจึงมีหน้าที่ที่จะต้องให้จำเลยทั้งสองใช้นาแปลงพิพาทปลูกข้าวต่อไป และผู้เสียหายไม่มีสิทธิที่จะไถทับที่นาซึ่งจำเลยทั้งสองปลูกข้าวไว้เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไถนาและหว่านข้าวในที่นาแปลงพิพาทไว้ ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสองมาเก็บเกี่ยวข้าวในที่นาแปลงพิพาท จึงแสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะเก็บเกี่ยวข้าวที่ได้หว่านไว้ แม้จะปรากฎว่าผู้เสียหายได้ไถทับที่นาแปลงพิพาทและปลูกต้นข้าวไว้ก็ตามแต่โดยสภาพของต้นข้าวที่ขึ้นมานั้น จำเลยทั้งสองไม่น่าจะแยกได้ว่าเป็นต้นข้าวที่ตนหว่านไว้ หรือเป็นต้นข้าวที่ผู้เสียหายปลูกไว้ การเก็บเกี่ยวข้าวของจำเลยทั้งสองจึงไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะลักต้นข้าวที่ผู้เสียหายปลูกไว้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”.

Share