แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นฝ่ายเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแต่ฝ่ายเดียว แม้จำเลยได้ลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียงซึ่งเป็นการยอมรับสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ แต่อีกสองเดือนถัดมาจำเลยก็ได้คัดค้านการที่ทางราชการจะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาท เช่นนี้ เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนภายใน 1 ปี ย่อมหมดสิทธิฟ้องร้องตาม ป.พ.พ.มาตรา 1375.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โดยได้ครอบครองทำประโยชน์ติดต่อกันเรื่อยมา เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2526ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ ต่อมาในฤดูทำนาปี พ.ศ. 2526จำเลยได้บุกรุกเข้าไปไถและปักดำในที่ดินพิพาทเพื่อถือการครอบครองขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 1,000 บาท นับแต่วันละเมิดจนกว่าจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยกับสามีจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในฐานะเป็นเจ้าของโดยความสงบเปิดเผยจนถึงปัจจุบัน ประมาณปีพ.ศ. 2520 ทางราชการได้รังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่พิพาทแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ทำประโยชน์ จำเลยได้คัดค้านทางราชการจึงไม่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้เพิกถอนชื่อโจทก์จากหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วใส่ชื่อจำเลยแทน หากโจทก์ไม่ดำเนินการจดทะเบียนแแก้ไข ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกับฟ้องเดิมและว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 1,000 บาท นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินพิพาท หากจำเลยขัดขืนไม่ออกจากที่ดินพิพาทก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะขอร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี มิใช่จะถือเอาคำพิพากษาแสดงแทนเจตนาจำเลยได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ของโจทก์ และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้เพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1649 แล้วใส่ชื่อจำเลยหากโจทก์ไม่จัดการแก้ไขให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยเป็นพี่สะใภ้โจทก์โดยเป็นภรรยาของนายสั้นรองสุพรรณ และนายสั้นได้ถึงแก่ความตายไปก่อนเกิดเหตุคดีนี้ประมาณ 5 ปีมาแล้ว เดิมที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของทีดินแปลงใหญ่ซึ่งมีเนื้อที่รวมกันประมาณ 20 ไร่ ต่อมาโจทก์ได้ขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินแปลงดังกล่าวส่วนทางด้านทิศเหนือโดยเข้าพนักงานได้ทำการพิสูจน์สอบสวนสิทธิและการทำประโยชน์ในที่ดินตามคำขอของโจทก์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2520 ตามเอกสารหมาย จ.1ครั้นวันที่ 18 มีนาคม 2520 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ทางราชการได้ประกาศเรื่องที่โจทก์ขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ครบกำหนดแล้ว จำเลยได้มาคัดค้านการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทให้โจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2526 ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทเนื้อที่6 ไร่ 3 งาน ให้แก่โจทก์ ส่วนที่ดินที่เหลือทางด้านทิศใต้เนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน…พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าฝ่ายโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแต่ฝ่ายเดียวมาโดยตลอดแม้ข้อเท็จจริงจะฟังดังที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม2520 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และจำเลยได้ลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียง ตามเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นการยอมรับสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ก็ตาม แต่ในเดือนมีนาคม 2520 จำเลยก็ได้คัดค้านการที่ทางราชการจะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาท และจำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมาเช่นนี้ เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนภายใน 1 ปีย่อมหมดสิทธิฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1775…”
พิพากษายืน