แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถานั้นถ้าศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องไม่ได้ ต้องห้าม ก็พึงสั่งยกคำขอเสียหาควรก้าวล่วงข้ามขั้นไปสั่งไม่รับฟ้องเสียทีเดียวไม่ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156วรรค 3 คืนค่าธรรมเนียมศาลอุทธรณ์ฎีกาในชั้นนี้ให้โจทก์
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องอนาถาขอให้ศาลสั่งถอนชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานเจ้าของรวมที่ดินพิพาทออกจาก ส.ค.1 ให้โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทแต่ผู้เดียว และสั่งว่า น.ส.3 ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินรายนี้แต่ผู้เดียวนั้นเป็นโมฆะ กับสั่งทำลายสัญญาเช่าที่ดินพิพาทระหว่างผู้เช่ากับจำเลยที่ 1 เสียทั้งสิ้น
ศาลชั้นต้นสั่งนัดไต่สวนอนาถา
จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้านว่า โจทก์ไม่ใช่คนยากจนอนาถาทั้งคดีโจทก์ไม่มีมูลเพราะที่ดินรายเดียวกันนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลด้วยข้อหาอย่างเดียวกันตามคดีแพ่งดำที่ 225/2505 ซึ่งกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ในศาลชั้นต้น คดีโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ขอให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอนาถา
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ โดยไม่จำต้องไต่สวนอนาถา ให้งดเสียแล้วสั่งว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 ข้อ 1 มีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องไม่ได้ เพราะต้องห้ามก็พึงสั่งยกคำขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาเสีย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรค 3 หาควรก้าวล่วงข้ามขั้นไปสั่งไม่รับฟ้องโจทก์เสียทีเดียวไม่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรค 3 ค่าธรรมเนียมชั้นศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาในชั้นนี้ให้คืนแก่โจทก์ไป