คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2559/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ถนนสาธารณะจะอยู่ในความดูแลของสุขาภิบาล แต่ประชาชนทั่วไปก็มีสิทธิใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะโจทก์ซึ่งมีที่ดินและบ้านเรือนอยู่ติดถนนสาธารณะดังกล่าวย่อมได้รับประโยชน์จากการใช้ถนนสาธารณะนั้นยิ่งกว่าบุคคลทั่วไป การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนปิดกั้นถนนสาธารณะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปได้ การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่พิพาทอันเป็นถนนสาธารณะเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ในอันที่จะใช้ประโยชน์จากที่พิพาทดังกล่าว เมื่อจำเลยยังไม่รื้อถอนโรงเรือนออกจากที่พิพาท การกระทำละเมิดของจำเลยยังคงมีอยู่ตลอดไป คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องขัดขวางถนนสาธารณะกับใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งแปดเป็นเงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลย คดีโจทก์ขาดอายุความโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คำฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นถนนสาธารณะ ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่พิพาท ห้ามเกี่ยวข้อง ให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาแรกที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จำเลยฎีกาว่าโจทก์บรรยายฟ้องเรื่องค่าเสียหายไม่ชัดเจนว่า โจทก์ค้าขายสินค้าประเภทใด และได้รับความเสียหายจากการบรรทุกสินค้าเข้าออกอย่างไร เป็นจำนวนเท่าใด ยากที่จำเลยจะเข้าใจ จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงลักษณะความเสียหายที่โจทก์จะพึงได้รับจากการที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่พิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในการนำสินค้าเข้าออกได้ตามปกติ เป็นการแสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาพอที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ ส่วนรายละเอียดของความเสียหายเป็นเรื่องที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
ส่วนปัญหาที่ว่า ที่พิพาทเป็นถนนสาธารณะหรือไม่นั้น พยานโจทก์นอกจากจะมีตัวโจทก์แล้ว ยังมีร้อยตรีอนุกูล สุภาไชยกิจ ซึ่งเคยเป็นนายอำเภอฉวาง และนายศุภชัย แซ่หลี ซึ่งเคยเป็นกรรมการสุขาภิบาลตำบลไม้เรียงเบิกความตรงกันว่า ที่พิพาทเป็นถนนสาธารณะประชาชนทั่วไปใช้สัญจรตลอดมาเป็นเวลา 30 ปี สุขาภิบาลใช้รถยนต์เข้าไปเก็บกวาดขยะและเป็นทางเข้าออกโรงเรียนเจริญมิตรซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของที่พิพาทอีกด้วย และเมื่อพิจารณาแผนที่หลังโฉนดที่ดินของโจทก์เอกสารหมาย จ.2 จ.6 จ.7 จ.7/1 และ จ.8ซึ่งที่ดินดังกล่าวเหล่านี้อยู่ติดกับที่พิพาททั้งทางทิศเหนือและทางทิศใต้ โดยแผนที่หลังโฉนดด้านที่ติดที่พิพาทระบุไว้ชัดว่ามีเขตติดต่อกับถนนสาธารณะ ประกอบกับแผนผังแสดงบริเวณเขตเพลิงไหม้และบริเวณใกล้เคียงรวมถึงรูปลักษณะของที่พิพาทตามเอกสารหมายปจ.1 และ จ.3 แล้ว ฟังได้แน่ชัดว่าที่พิพาทเป็นถนนสาธารณะซึ่งประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันดังที่โจทก์นำสืบ หาใช่เป็นที่ส่วนตัวของจำเลยไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเห็นว่า แม้ที่พิพาทจะเป็นถนนสาธารณะซึ่งอยู่ในความดูแลของสุขาภิบาลก็ตาม แต่ประชาชนทั่วไปก็มีสิทธิใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยเฉพาะโจทก์ซึ่งมีที่ดินและบ้านเรือนอยู่ติดถนนพิพาทย่อมได้รับประโยชน์จากการใช้ถนนพิพาทยิ่งกว่าบุคคลทั่วไป การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนปิดกั้นที่พิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปได้
ที่จำเลยฎีกาเรื่องค่าเสียหายว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ที่ 3 เป็นจำนวนมากเกินไปนั้น เห็นว่าที่ดินและบ้านของโจทก์ที่ 3 อยู่ติดกับโรงเรือนที่จำเลยปลูกสร้างลงบนที่พิพาท หลังคาของเรือนจำเลยยื่นล้ำเข้าไปใต้กันสาดบ้านโจทก์ที่ 3 ทำให้ประตูด้านข้างเปิดเข้าออกเพื่อขนถ่ายสินค้าไม่ได้เช่นปกติ เห็นได้ว่า นอกจากโจทก์ที่ 3 ไม่อาจจะใช้ประโยชน์จากที่พิพาทแล้ว ยังไม่อาจจะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของตนอีกด้วยฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 3เป็นเงิน 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นการสมควรแก่กรณีแล้ว
ปัญหาสุดท้ายเรื่องอายุความจำเลยฎีกาว่า จำเลยสร้างโรงเรือนลงในที่พิพาทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 กรณีเป็นเรื่องละเมิด โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่วันละเมิด คดีโจทก์จึงขาดอายุความ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่พิพาทอันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ในอันที่จะใช้ประโยชน์จากที่พิพาท เมื่อจำเลยยังไม่รื้อถอนโรงเรือนออกจากที่พิพาท การกระทำละเมิดของจำเลยยังคงมีอยู่ตลอดไป คดีโจทก์หาขาดอายุความไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share