แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้วจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขฎีกาจำเลยล้วนแล้วแต่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา จำเลยทั้งสองเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้ชำระเงินจำนวน293,745 บาท ซึ่งเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ และงานรับเหมาในคดีนี้เป็นงานเดียวเท่านั้น แต่โจทก์กลับมาฟ้องเป็นสองคดีในเวลาเดียวกัน เมื่อศาลพิพากษา ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองคดีจึงไม่เป็นธรรมแก่จำเลย และ เป็นฟ้องซ้ำซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน85,600 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 85,600 บาท นับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับ(อันดับ 69,68) จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นกรณี จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 จึงให้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตาม คำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด 10 วัน ต่อมา จำเลยทั้งสองแถลงขอถือเอาเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่วางไว้ต่อศาล ในขณะยื่นฎีกา และหนังสือค้ำประกันที่วางไว้ต่อศาล ในชั้นทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์เป็นหลักประกันตาม คำสั่งศาลศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาพิจารณา(อันดับ 71,72)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า มูลกรณีของคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยที่ 1ชำระหนี้แล้ว ตามคดีหมายเลขแดงที่ 15863/2532โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องอีกจึงเป็นการฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าวเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่าคดีดังกล่าว โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าซ่อมผิวจราจร 3 แห่งเป็นเงิน 85,600 บาท โดยอาศัยสัญญาจ้างเหมาลงวันที่6 ตุลาคม 2531 ตามเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งมูลกรณีเกิดขึ้นหลังคดีนี้ มูลกรณีของคดีดังกล่าวกับคดีนี้เป็นคนละเรื่องมิได้ซ้อนกัน ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการเถียงข้อเท็จจริงต่างจาก ที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเมื่อทุนทรัพย์ ชั้นฎีกาของคดีนี้ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว และเมื่อฎีกาของจำเลยตกไปแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะทุเลาการบังคับ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยก็ชอบแล้วดุจกัน ให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสอง