คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2558/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นสามีของผู้ตาย ไม่ปรากฏว่ามีพินัยกรรมเป็นอย่างอื่นโจทก์จึงเป็นผู้ได้รับทรัพย์มรดกโดยสิทธิทายาทโดยธรรมของผู้ตายเป็นจำนวนมากที่สุด เป็นผู้มีอำนาจและมีหน้าที่ต้องจัดการทำศพผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1649 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าปลงศพภริยาโจทก์ได้ แม้บิดาโจทก์จะได้ออกเงินให้โจทก์ใช้จ่ายในการทำศพ จำเลยก็จะมายกเป็นข้อปัดป้องความรับผิดของจำเลยหาไม่ได้ ลูกจ้างประสบอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานและอธิบดีกรมแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนให้แก่มารดาสามี และบุตร เป็นการจ่ายเงินเพื่อการคุ้มครองแรงงาน ไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิด โจทก์ซึ่งเป็นสามีของลูกจ้างผู้ตาย ยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเรื่องละเมิดได้ ในตอนต้นของคำฟ้องโจทก์มีชื่อโจทก์เพียงผู้เดียว แต่โจทก์เป็นบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิง จ. และปรากฏในคำฟ้องว่าโจทก์กับนาง ส. ผู้ตายมีบุตรด้วยกันคือ เด็กหญิง จ. ทั้งโจทก์เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูไว้เป็นจำนวนเงินชัดเจน ถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีในฐานะบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ด้วยแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีนางสุนีย์ กาญจนพบู มีบุตรด้วยกัน1 คน คือ เด็กหญิงจุไรรัตน์ จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์รับส่งคนโดยสารประเภทรถทัวร์ จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์และนำมาร่วมวิ่งในเส้นทางของจำเลยที่ 1 ในนามของจำเลยที่ 1 โดยมีผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกสิบล้อ จำเลยที่ 4เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 นางสุนีย์ กาญจนพบู เป็นพนักงานต้อนรับประจำรถของจำเลยที่ 1 รถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 1แล่นออกจากกรุงเทพไปตามถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าไปตามจังหวัดภาคใต้เมื่อถึงตำบลขันเงิน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ได้ชนกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยที่ 3 ทั้งนี้ด้วยความประมาทของคนขับรถจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นเหตุให้นางสุนีย์ถึงแก่ความตาย โจทก์ต้องเสียค่าปลงศพ และเด็กหญิงจุไรรัตน์ขาดไร้อุปการะ ขอให้จำเลยร่วมกันใช้เงินจำนวน 253,740 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า สาเหตุที่รถยนต์ชนกันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อของคนขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ค่าปลงศพไม่เกิน10,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะไม่เกิน 10,000 บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยที่ 1 จ่ายค่าทดแทนตามกฎหมายแรงงานให้โจทก์และเด็กหญิงจุไรรัตน์ พร้อมทั้งจ่ายค่าทำศพ นางสุนีย์ แล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 181,700 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า โจทก์เป็นสามีของนางสุนีย์ไม่ปรากฏว่านางสุนีย์มีพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับทรัพย์มรดกโดยสิทธิโดยธรรมของนางสุนีย์เป็นจำนวนมากที่สุดเป็นผู้มีอำนาจและมีหน้าที่ต้องจัดการทำศพ นางสุนีย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1649 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าปลงศพภริยาโจทก์ได้ แม้นายทวีบิดาโจทก์จะได้ออกเงินให้โจทก์ใช้จ่ายในการทำศพก็ตาม จำเลยก็จะยกมาเป็นข้อปัดป้องความรับผิดของจำเลยหาได้ไม่ส่วนที่จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาว่าจำเลยได้จ่ายเงินให้โจทก์ไปตามคำสั่งของกรมแรงงานที่ 23/2524ไปบางส่วนแล้วจึงไม่ต้องรับผิดนั้น พิเคราะห์เอกสารหมาย จ.6คือ คำสั่งอุทธรณ์เงินทดแทนที่ 23/2524 แล้ว มีข้อความว่าอธิบดีกรมแรงงานพิจารณาแล้ว เห็นว่า นางสุนีย์เป็นลูกจ้างที่ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน จึงให้บริษัท (จำเลยที่ 1)จ่ายค่าทดแทนแก่นางเลี่ยม พรหมวิสัย (มารดา) สิบตำรวจเอกธีรศักดิ์กาญจนพบู (สามี) และเด็กหญิงจุไรรัตน์ กาญจนพบู (บุตร) เป็นเงินเดือน ๆ ละ 1,500 บาท มีกำหนด 10 ปี และค่าทำศพ 5,000 บาทแล้วเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการจ่ายเงินเพื่อการคุ้มครองแรงงานไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิด โจทก์จึงยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเรื่องละเมิดอยู่
สำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าฟ้องแทนเด็กหญิงจุไรรัตน์ จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินส่วนนี้นั้น เห็นว่า โจทก์เป็นบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงจุไรรัตน์ซึ่งเป็นบุตร ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายชัดเจนว่า โจทก์กับนางสุนีย์ผู้ตายมีบุตรด้วยกันคือ เด็กหญิงจุไรรัตน์ ทั้งโจทก์ได้เรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูไว้เป็นจำนวนเงินชัดเจน ถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ด้วย จึงมีสิทธิเรียกเงินส่วนนี้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาแทนโจทก์ โดยให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์ และให้จำเลยให้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ฎีกา รวม 2,000 บาท แทนโจทก์.

Share