แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม ป. รัษฎากร มาตรา 86 ผู้ที่จะออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าได้นั้นจะต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าหรือบริการเท่านั้น ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มิได้ขายสินค้าหรือบริการไม่อาจออกใบกำกับภาษีแทนผู้อื่นได้ ว. เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีในนามของตนเองหรือในนามของลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง ซึ่งเป็นชื่อสถานประกอบการตามที่จดทะเบียนไว้ เมื่อโจทก์ติดต่อซื้อรางรถไฟจาก ว. และชำระค่ารางรถไฟให้โดยเช็คระบุชื่อบริษัทลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้ที่มีสิทธิและหน้าที่ในการออกใบกำกับภาษีให้แก่โจทก์คือ ว. หรือลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง ใบกำกับภาษีฉบับพิพาทซึ่งออกโดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. จึงเป็นใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นใบกำกับภาษีที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวออกโดยไม่มีการขายสินค้าและถือได้ว่าเป็นใบกำกับภาษีปลอม ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าว จึงไม่อาจนำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามมาตรา 82/5 แห่ง ป. รัษฏากร การที่โจทก์นำใบกำกับภาษีซื้อที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวไปใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยมีอำนาจประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมเงินเพิ่มและเบี้ยปรับอีกสองเท่าของจำนวนภาษีตามใบกำกับภาษีดังกล่าวตามมาตรา 89 (7) แห่ง ป. รัษฎากรได้
โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่า โจทก์มิได้ซื้อรางรถไฟจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. แต่โจทก์ยังนำเอาใบกำกับภาษีของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. มาใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีจึงไม่มีเหตุอันควรลดหรืองดเบี้ยปรับแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเพิกถอนหรือยกเลิกการประเมินภาษีที่ให้โจทก์ชำระเป็นเงิน 168,536.79 บาทให้งดเบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มที่เรียกจากโจทก์ทั้งหมดกับให้จำเลยคืนเงินภาษีและเงินเพิ่มจำนวน 72,509.42 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 71,640.90 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยได้ออกตรวจปฏิบัติการภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สถานประกอบกิจการของโจทก์ปรากฏว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนกันยายน 2539 ได้นำใบกำกับภาษีซื้อปลอมของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์ซึ่งโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดเป็นผู้ออกให้ ราคาสินค้า 736,290 บาท ภาษีซื้อ 51,540.30 บาท รวมเป็นเงิน 787,830.30 บาท สำแดงในยอดซื้อของเดือนดังกล่าวซึ่งถือเป็นภาษีซื้อต้องห้ามมิให้นำมาหักภาษีขาย เมื่อโจทก์นำภาษีซื้อต้องห้ามดังกล่าวมาคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นเหตุให้โจทก์สำแดงรายการคลาดเคลื่อน จึงต้องเสียเบี้ยปรับ 3 เท่า และยังต้องรับผิดเงินเพิ่มอีก รวมเป็นเงิน 220,007.09 บาท โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่าโจทก์ใช้ใบกำกับภาษีปลอม ต้องรับผิดค่าภาษีและเงินเพิ่มตามการประเมิน ส่วนเบี้ยปรับให้ลดลงคงเรียกเก็บเพียง 2 เท่า การที่โจทก์กล่าวอ้างว่า ใบกำกับภาษีซื้อรายพิพาทห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์เป็นผู้ออก จึงเป็นผู้กระทำผิด โจทก์ซื้อรางเหล็กได้จ่ายค่าภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีแล้วเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องเรียกเงินค่าภาษีคืนจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์ และที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับ 2 เท่า จำนวน 103,080.60 บาท และเงินเพิ่ม 13,915.89 บาท นั้นไม่ชอบ เพราะจำเลยทราบอยู่แล้วว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีซื้อรายพิพาท โดยมีนายวินัยซึ่งใช้ทะเบียนการค้าว่า บริษัทลิฟท์ไทย จำกัด เป็นผู้นำใบกำกับภาษีซื้อมาให้โจทก์ โจทก์ชำระค่ารางเหล็กและค่าภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีแล้วโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ข้ออ้างดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะใบกำกับภาษีซื้อรายพิพาท โจทก์ถือเป็นภาษีซื้อแล้วนำไปคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนกันยายน 2539 โดยโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์ มีตัวตนอยู่ที่ใด และไม่สามารถติดตามผู้จัดการหรือผู้แทนของห้างมายืนยันว่าเป็นผู้ออกใบกำกับภาษีซื้อดังกล่าว โจทก์กล่าวอ้างลอย ๆ ว่า โจทก์สุจริต โจทก์จึงต้องรับผิดค่าภาษีที่สำแดงเกิน พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการแรกว่า โจทก์สามารถนำใบกำกับภาษีซื้อฉบับพิพาทมาถือเป็นภาษีซื้อเพื่อคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้หรือไม่ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 82/5 บัญญัติว่า “ภาษีซื้อในกรณีดังต่อไปนี้ ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3 (1)
(5) ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีซึ่งออกโดยผู้ที่ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีตามส่วน 10 (6)
” และในส่วน 10 มาตรา 86 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 86/1 มาตรา 86/2 และมาตรา 86/8 ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนจัดทำใบกำกับภาษี และสำเนาใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการทุกครั้ง และต้องจัดทำทันทีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น พร้อมทั้งให้ส่งมอบใบกำกับภาษีแก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ ส่วนสำเนาใบกำกับภาษีให้เก็บรักษาไว้ตามมาตรา 87/3
” เห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวผู้ที่จะออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าได้นั้นจะต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าหรือบริการเท่านั้น ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มิได้ขายสินค้าหรือบริการไม่อาจออกใบกำกับภาษีแทนผู้อื่นได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายวินัย บัตรมาก เป็นผู้ติดต่อขายและส่งมอบรางรถไฟให้แก่โจทก์ในนามบริษัทลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด โจทก์ได้รับรางรถไฟแล้วชำระค่าสินค้าพร้อมภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยเช็คระบุชื่อบริษัทลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จำนวนเงิน 787,830.30 บาท และได้มีการนำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีของนายวินัยซึ่งได้เปิดบัญชีออมทรัพย์ไว้ที่ธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาโชคชัย 4 ในนามของลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง แต่ไม่มีการจดทะเบียนบริษัทลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นนิติบุคคล จำเลยได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นายวินัยระบุว่าเป็นผู้ประกอบการใช้ชื่อสถานประกอบการว่าลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง นายวินัยจึงเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีในนามของตนเองหรือในนามของลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง ซึ่งเป็นชื่อสถานประกอบการตามที่จดทะเบียนไว้ได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์ติดต่อซื้อรางรถไฟจากนายวินัย และชำระค่ารางรถไฟให้โดยเช็คระบุชื่อบริษัทลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้มีสิทธิและหน้าที่ในการออกใบกำกับภาษีให้แก่โจทก์คือนายวินัยหรือลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่งหาใช่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์ไม่ ใบกำกับภาษีฉบับพิพาทซึ่งออกโดยห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์จึงเป็นใบกำกับภาษี ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นใบกำกับภาษีที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวออกโดยไม่มีการขายสินค้าและถือได้ว่าเป็นใบกำกับภาษีปลอม ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าว จึงไม่อาจนำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามมาตรา 82/5 แห่งประมวลรัษฎากร การที่โจทก์นำใบกำกับภาษีซื้อที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวไปใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยมีอำนาจประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมเงินเพิ่มและเบี้ยปรับอีกสองเท่าของจำนวนภาษีตามใบกำกับภาษีดังกล่าวตามมาตรา 89 (7) แห่งประมวลรัษฎากรได้ ที่โจทก์อ้างว่าเหตุที่นำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาใช้เพราะถูกนายวินัยหลอกลวง โจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีนั้น เห็นว่า โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่า โจทก์ซื้อรางรถไฟจากนายวินัยหรือบริษัทลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด โดยโจทก์ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินระบุชื่อบริษัทลิฟท์ไทยเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้รับเงิน แต่โจทก์กลับไปรับใบกำกับภาษีจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์ซึ่งมิได้เป็นผู้ขายรางรถไฟให้แก่โจทก์ เช่นนี้โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าถูกนายวินัยหลอกลวง มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามอุทธรณ์โจทก์ว่า มีเหตุสมควรลดหรืองดเบี้ยปรับหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่า โจทก์มิได้ซื้อรางรถไฟจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์ แต่โจทก์ยังนำเอาใบกำกับภาษีของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุคนสวัสดิ์วัสดุภัณฑ์มาใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นนี้ กรณีจึงไม่มีเหตุอันควรลดหรืองดเบี้ยปรับแก่โจทก์
พิพากษายืน .