แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยและ ส. ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของบริษัท ถ. จำกัด โดยยอมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยและ ส. ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกันต่อมาจำเลยได้ขายที่ดินที่จำนองเป็นประกันหนี้ไป และ ส.ได้ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวนหนึ่งซึ่งโจทก์ได้ออกหนังสือปลดหนี้แก่ ส. แล้ว จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมในหนี้รายเดียวกันย่อมต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสองเมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดชอบผู้ค้ำประกันต่อกันไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229 และ296 การที่โจทก์สละสิทธิต่อ ส. ย่อมมีผลทำให้หนี้ส่วนที่เหลือสำหรับส. ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 และย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมระงับไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 293
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 17160/2532 ของศาลแพ่ง ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2532 โดยจำเลยกับพวกยอมชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 7,994,777.58 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15ต่อปี ในต้นเงิน 5,280,000 บาท นับแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2532จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ต้องชำระให้เสร็จภายใน 6 เดือน นับจากวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ กับชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความ 4,000 บาท หากผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้หากไม่พอชำระยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ จำเลยกับพวกได้ชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองหลายครั้งครั้งสุดท้ายวันที่ 11 มิถุนายน 2534 ชำระ 650,000 บาท เมื่อนำไปหักชำระหนี้ดอกเบี้ยและต้นเงินบางส่วนแล้ว จำเลยกับพวกยังคงเป็นหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมอยู่อีก 4,433,822.06 บาท แล้วไม่ชำระแก่โจทก์อีกเลย โจทก์ได้ขอออกหมายบังคับคดีและสืบหาทรัพย์สินของจำเลยกับพวกเพื่อดำเนินการบังคับคดีแล้ว แต่จำเลยกับพวกไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้คำนวณยอดหนี้ถึงวันฟ้อง จำเลยกับพวกยังเป็นหนี้โจทก์เป็นต้นเงินจำนวน4,433,822.06 บาท กับดอกเบี้ยจำนวน 4,580,806.29 บาท รวมเป็นเงิน 9,014,628.35 บาท พฤติการณ์ของจำเลยต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ของบริษัทถุงกระดาษไทยจำกัด ซึ่งได้ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วน จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิด จำเลยไม่ได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และมีทรัพย์สินสามารถใช้หนี้โจทก์ได้จนครบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 17160/2532 ของศาลแพ่งซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2532 ให้บริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด นายวิวัฒน์อรรถประสิทธิ์ จำเลยและนางสาวสุพรรณี ลีลาวัณย์ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันและผู้จำนองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 7,994,777.58 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 5,280,000 บาทนับตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ และร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความ 4,000 บาทโดยชำระให้เสร็จภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยกับพวกออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยกับพวกออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบถ้วนตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความและสำเนาคำพิพากษาตามยอมเอกสารหมายจ.2 และ จ.3 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยยังมีหนี้ค้างชำระแก่โจทก์หรือไม่ เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 2804/2532 หมายเลขแดงที่ 17160/2532 ของศาลแพ่งตามเอกสารหมาย ล.1 แล้ว เห็นว่า จำเลยและนางสาวสุพรรณีได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัดโดยยอมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยและนางสาวสุพรรณีได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกัน ซึ่งต่อมาจำเลยได้ขายที่ดินที่จำนองเป็นประกันหนี้ไป และนางสาวสุพรรณีได้ชำระหนี้แก่โจทก์โดยโจทก์ได้ออกหนังสือฉบับลงวันที่ 21 ธันวาคม 2532 เรื่อง ชำระหนี้และปลดภาระค้ำประกันให้แก่นางสาวสุพรรณีโดยระบุว่า”… ตามที่ธนาคารได้อนุมัติให้ท่านชำระหนี้ส่วนตัวและในฐานะผู้ค้ำประกันบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด จำนวน 6,600,000 บาทเพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 149097 และ 169049แขวงสวนหลวง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร และปลดภาระค้ำประกันออกไป นั้น… ธนาคารได้รับชำระเงินจำนวน 6,600,000บาท โดยท่านได้ไถ่ถอนทรัพย์จำนองดังกล่าวข้างต้นเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2538 ภาระหนี้ส่วนตัวและภาระค้ำประกันหนี้บริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด ของท่านที่มีต่อธนาคารได้หมดไป…”ตามหนังสือเอกสารหมาย ล.2 แม้เอกสารหมาย ล.2 จะเป็นสำเนาเอกสารซึ่งถ่ายจากต้นฉบับแต่เมื่อจำเลยอ้างส่งสำเนาต่อศาลพยานโจทก์รับว่าโจทก์ออกเอกสารดังกล่าวจริง จึงถือได้ว่าโจทก์ยอมรับว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้อง แสดงว่าโจทก์ได้ปลดหนี้ให้แก่นางสาวสุพรรณีแล้ว และในส่วนของจำเลยนั้นเป็นการค้ำประกันหนี้รายเดียวกันย่อมมีผลเป็นผู้ค้ำประกันร่วมกับนางสาวสุพรรณีจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสอง ทั้งบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันต่อกันไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229และ 296 เมื่อนางสาวสุพรรณีได้ชำระหนี้ส่วนตัวและในฐานะผู้ค้ำประกันบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด ตามเอกสารหมาย ล.2 แล้ว การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สละสิทธิต่อนางสาวสุพรรณีมีผลทำให้หนี้ส่วนที่เหลือสำหรับนางสาวสุพรรณีระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 และย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมระงับไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 293 จำเลยจึงหลุดพ้นไปด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน